Showing posts with label running diary. Show all posts
Showing posts with label running diary. Show all posts

Friday, February 9, 2018

ขอนแก่นมาราธอน 2018 | 2 comments:


เลข bib นี้ ท่านได้แต่ใดมา

จริงๆ ตั้งใจไป Taipei City Marathon 2017 แต่ไม่ได้ล็อตโต้ (เท่าที่รู้ เราเป็นคนเดียว คนอื่นเค้าได้กันหมด T_T) เลยต้องหางานอื่น พอดีงานนี้ยังไม่เต็ม และพี่ปูแนะนำมาว่าสนามง่าย อากาศดีทุกปี เลยได้มาวิ่งมาราธอนที่บ้านเกิดซักที

การฝึกซ้อม 

ก็ตามที่เขียนไว้ในโพสต์ที่แล้วเลยค่ะ แต่ขอลงเรื่องส่วนตัวต่างๆ ไว้ในโพสต์นี้แทน เราเริ่มด้วยการวิ่งทดสอบความเร็ว 10K ก่อนเข้าตารางที่งานวิ่ง Fit Your Bone เวลา 52:25 แต่ระยะขาดไป 200 เมตร ฮ่วย!! งั้นกะๆ เอาเลขกลมๆ ว่า 10K น่าจะได้ซัก 53:30 ละกัน ห่วยกว่า PB ตั้งเกือบหนึ่งนาที แต่ก็ดี จะได้กำหนด marathon pace ได้ตามความสามารถล่าสุดของตัวเองจริงๆ ตรงนี้สำคัญนะคะ อย่าเอา PB ไปกำหนดเพซ เพราะมันอาจจะเกินตัว สำหรับมาราธอนคาถาที่เราท่องเสมอคือ เบาไว้ๆ อย่าโลภ

เทียบกับตารางในหนังสือ Hanson Marathon Method จะได้เวลาเป้าหมายอยู่ระหว่าง 4:09 ถึง 4:13 ชม. จากนั้นค่อยเอาเวลาเป้าหมายไปดูว่าการวิ่งแต่ละประเภทต้องใช้ความเร็วเท่าไหร่ จากนั้นก็ซ้อมกันไปตามตารางเวอร์ชัน modify มีวินัยพอสมควร เห็นได้จากตลอดเวลา 18 สัปดาห์ มีสัปดาห์เดียวเท่านั้นที่วันอาทิตย์ไม่ได้ตื่นไปซ้อม เพราะไปเที่ยวไต้หวันกับที่บ้าน (ก็เพราะเหตุนี้แหละถึงสมัครมาราธอนที่นั่นไว้ จะได้ถือโอกาสไปวิ่งด้วยเลย พอดีแห้วซะก่อน) เฉลี่ยสัปดาห์ละ 4 วัน weekly mileage 50 กม.

การซ้อมมาราธอน 18 สัปดาห์


ระหว่างซ้อมก็ไปงานวิ่ง 2 ครั้ง คือในสัปดาห์ที่ 11 เพื่อทดสอบเวลา 10K ล่าสุด ซึ่งเล่าไปแล้วว่าได้ new PB แบบเว่อร์วังอลังการ ทั้งๆ ที่วิ่งคุมความเหนื่อยให้ปริ่มๆโซน 5 ไม่ได้เหนื่อยโฮกอะไรเลย ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะวันนั้นอากาศดีมากด้วยแหละ

เหนื่อยแต่ไม่ถึงกับเฮือก

อีกครั้งนึงคือในสัปดาห์ที่ 16 เพื่อวิ่ง Tempo ยาวที่สุดในตารางคือ 21K เพราะอยากรู้ว่าเมื่อคุมความเร็วเท่า race pace แล้ว ผ่านไปครึ่งทางของมาราธอน จะมีอาการเป็นยังไง อาการที่คาดหวังคือ จบด้วยโซน 3 และขาสดสุดๆ (วิ่งมาราธอนครั้งที่แล้วก็ทดสอบแบบนี้) ผลที่ได้คือ จบด้วยโซน 3 กลางๆ แต่ขาไม่สดอ้ะ > < มันล้านิดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ทันแล้ว ได้แต่ convince ตัวเองว่า "กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์"

ซื้อมา ขอปล่อยของนิดนึง

การแข่งขัน

เราดูเส้นทางมาก่อน เพราะเป็นบ้านเราเอง แม้บางส่วนจะนึกไม่ออกเพราะเพิ่งสร้างตอนมาอยู่กรุงเทพแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็จินตนาการตามได้ เราจึงจัดแจง visualization เอาไว้เสร็จสรรพ อย่างที่ไม่เคยได้มีโอกาสทำที่งานไหน



visualization คือ การจินตนาการว่า ขณะที่ตัวเองอยู่บนจุดต่างๆ ของเส้นทาง เราจะทำอะไรบ้าง กินเจลกินน้ำตรงไหน วิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมและสภาพของเราจะเป็นยังไง ถ้าเป็นคนที่ต้องการแข่งขัน ก็อาจต้องจินตนาการเพิ่มเติมด้วยว่า คู่แข่งจะอยู่ตรงไหน เราจะทำอะไรเพื่อเอาชนะคู่แข่ง

จุดประสงค์ก็เพื่อให้จิตใจสงบ เพราะมีแผนให้ทำตามแล้ว อีกทั้งเห็นแผนนั้นชัดเจนในหัว ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้าล้วนๆ ของจริงจะทำได้หรือไม่ได้เอาไว้ว่ากันอีกที (น้องเบสแนวหน้าหญิงคนนึง ที่ขณะนี้เธอไปเรียนป.เอกที่ Stanford เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไว้ยาวเหยียด ถ้ามีโอกาสจะถอดเทปให้ฟังกันค่ะ)  

แผนของเรามีง่ายๆ คือ คุมเพซ 5:50-6:00 ให้ได้ตลอดทาง นิ่งๆ ไม่ต้องอยาก Negative Split อะไร เพราะจากประสบการณ์วิ่งมา 3 ครั้งเรารู้เลยว่าถึงอยากเร่งก็เร่งไม่ขึ้น แค่รักษาความเร็วเดิมให้ตลอดรอดฝั่งก็ยากแล้ว และในกม. 24-32 ที่เป็นทางเลี่ยงเมืองฝั่งอุดร มันจะดูอ้างว้างน่าเบื่อราวกับไม่รู้จบสิ้น (พี่ปูเตือนไว้) จงก้มหน้าก้มตาสับขาไปด้วยจังหวะเดิม ไม่ต้องสนระยะทาง จะมีสะพานข้ามทางรถไฟอันนึง (สะพานมีลักษณะนามเป็นอะไรฟระ ขี้เกียจหา) ที่กม. 30 ซึ่งนั่นคือระยะวิ่งยาวสูงสุดที่เราเคยซ้อม เราจะเคาะขึ้นสะพานไปเรื่อยๆ ไม่ยอมเดินเด็ดขาด 


สะพาน กม.30

เมื่อลงสะพานแล้ว ถนนเลี่ยงเมืองอันอ้างว้างจะมาตัดกับถนนมิตรภาพ อย่าเพิ่งส่งใจไปที่ถนนมิตรภาพ จงรู้ไว้ว่าเส้นทางจะไม่เลี้ยวซ้ายเลย แต่ต้องข้ามแยกไปกลับตัวมาอีกเกือบ 2 กม. แข็งใจเอาไว้  ต่อเมื่อเลี้ยวเข้ามิตรภาพแล้วกำลังใจจะมา เพราะเป็นทางลงยาวๆ อีก 4 กม. จนถึงประตูมหาลัย (อันนี้คือที่เราคิดจากความทรงจำสมัยอยู่ขอนแก่น) พอเข้ามอได้แล้ว ทีนี้ถ้ายังเร่งไหวก็ค่อยเร่ง ตายเป็นตาย-เจ๊งเป็นเจ๊ง เพราะแม้จะมีเนินลูกคลื่นแต่ภาพรวมมันคือทางลง และกองเชียร์จะทำให้การวิ่งสนุกมากกกก (อันนี้คือความทรงจำสมัยมาวิ่งมินิฯ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว)

ข้างบนคือสิ่งที่ visualization มา ความเป็นจริงคือ...

มันเป็นไปตามนั้นมากทีเดียว จนนึกขอบคุณตัวเองว่าวางแผน+เตรียมใจมาดี ผ่าน 21 กม. ด้วยความสดเหลือเชื่อ ความอ้างว้างของถนนเลี่ยงเมืองไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา สะพานกม. 30 ก็ไม่เป็นปัญหา พอถึงแยกก็ไม่ส่งใจไปถนนมิตรภาพก่อนเวลาอันควร

ปัญหาเริ่มมาตอนกม. 32 ตอนเลี้ยวเข้าถนนมิตรภาพ... เราเริ่มล้าจริงจังแล้ว ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการรักษาความเร็วให้เท่าเดิม ยังดีที่เป็นทางลงยาวๆ .... แต่....มันไม่ได้ลงยาวจนถึงหน้ามอนี่หว่า 555+ วิ่งไปได้แค่ 2 กม. ก็ต้องขึ้นเนินอีกครั้ง และขึ้นยาวไปจนเกือบถึงประตูมอ

ต้องซาดิสม์ขนาดไหนถึงมาถ่ายนักวิ่งมาราธอนที่กำลังขึ้นเนินในกม. 36!!
อยากยิ้มนะ แต่มั่นใจว่าตอนนั้นทำได้แค่ยิงฟัน

เป็น 2 กม. ที่ต้นขากรีดร้อง นึกขอบคุณร่างกาย ขอบคุณพ่อแม่ อาราธนา mileage 73 กม. มาเป็นเครื่องปลอบประโลมจิตใจ ผ่านศาลเจ้าพ่อมอดินแดงก็ยกมือไหว้ คุ้มครองลูกด้วยนะคะ จนในที่สุดก็เคาะมาถึงประตูมอโดยความเร็วไม่ตกไปไกลนัก

เข้ามอได้ก็ใจชื้นแล้ว เหลืออีก 6 กม. แต่ไม่ได้นับถอยหลังเลย เพราะใจคิดอย่างเดียวว่า "อีกนิดเดียว" ... นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้าถิ่น .... 6 กม. ในพื้นที่ที่เราไม่เคยมา กับ 6 กม. ในเส้นทางที่เราผ่านเกือบทุกวันมันให้ความรู้สึกต่างกันมาก...ใจเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ

แก๊งค์กองเชียร์สาว2 ที่ฮามาก
สังเกตหน้าค่ะ ทั้งที่ขาเจ็บปวดรวดร้าว แต่ก็ยังอดขำไม่ได้


ดังนั้นแม้ขาจะแทบยกไม่ขึ้น รู้สึกได้เลยว่าเอ็นขาหนีบกับเอ็นข้อเท้าด้านขวาครากไปแล้ว ^ ^ การวิ่งตอนนี้เป็นเพียงการสั่งต้นขาให้ยก ส่วนอีตอนลงพื้นจะลงยังไงมัน control ไม่ได้แล้ว ... แต่...เออ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ตูก็จะวิ่งไปแบบนี้แหละ!! เดี๋ยวก็ถึงแล้ว!!

ด้วยลักษณาการเช่นนี้ เราเร่งอะไรไม่ขึ้นทั้งนั้น (แต่ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊งน่ะมีแน่) ประคองความเร็ว ประคองร่างเข้าเส้นด้วยเพซเฉลี่ย 5:56 นาที/กม. 

จบแล้วก็นิ่งๆ ... ก็ดีใจ-ภูมิใจแหละ new PB หนิ...แต่มันไม่หวือหวาไง อยู่กับเพซนี้มาตลอด เห็นมันมาตลอด ซ้อมมันมาใน workout Tempo 16 ครั้ง เพียงแต่วันนี้เพิ่มระยะขึ้นสองเท่าจากระยะ Tempo ยาวสุดแค่นั้นเอง ... ความรู้สึกเหมือนที่เคยบอกเลย ... มาราธอนสำหรับเราจบก่อนซ้อมเสร็จซะอีก ... มันจบไปตั้งแต่กำหนด race pace ที่ realistic แล้ว

เพซแต่ละกิโลเมตร


สรุปบทเรียน

1) visualization ช่วยคุณได้ (แต่อาจต้องเป็นสนามวิ่งที่คุ้นเคย)

2) ถ้าได้แข่งในเส้นทางที่คุ้นเคย โดยเฉพาะกิโลเมตรท้ายๆ จะช่วยเรื่องจิตใจได้ดีมาก

3) ซ้อมหลากหลายแล้วเมื่อเทียบกับมาราธอนครั้งก่อน 
- shot interval ได้ใช้เพื่อเพิ่มความเร็ว 10K แต่ไหวตัวช้าเกินไป ทำให้ไม่กล้าเปลี่ยน race pace การซ้อมครั้งต่อไปอาจต้องทดสอบความเร็ว 10K ไม่เกินสัปดาห์ที่ 8
- long interval ไม่ได้ใช้ เพราะสภาพขาไม่แข็งแรงพอจะเพิ่มความเร็วได้ แม้หัวใจจะเหลือๆ

4) Mileage ขั้นต่ำสุดๆ ของมาราธอนควรเป็น 50 กม. แล้วจะไม่เป็นตะคริว  แต่ถ้าอยากมีแรงขาเหลือให้เร่งความเร็วต้องมี mileage สูงกว่านี้ เท่าไหร่ยังไม่รู้

5) ครั้งนี้ซ้อมวิ่งยาวที่ 30K ก็เริ่มล้าที่ 32  ครั้งที่แล้วซ้อมวิ่งยาว 32K เริ่มล้าที่ 35 มันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องวิ่งยาวให้ยาว แต่ต้อง trade off เอาเอง ว่ายาวแค่ไหนที่จะไม่ทำให้เจ็บ หรือทำให้ตารางซ้อมวันต่อๆไปเสียหาย

6) ความสม่ำเสมอคือเรื่องสำคัญ แม้ไม่ได้ซ้อมมาราธอนก็ควรรักษา mileage อย่างน้อย 30 กม. จะได้ไม่ มีปัญหา too much เมื่อต้องการปรับฐาน mileage เข้าสู่ตารางมาราธอน

https://www.endomondo.com/users/862998/workouts/1062954687

ขอบคุณร่างกายที่รับใช้เราแบบถึงไหนถึงกัน ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้ชีวิต ให้ร่างกายที่ครบ 32 รอเราไป update firmware เอาเองตามอัธยาศัย ขอบคุณที่ทำงานที่มีสนามกีฬาไว้ให้เราได้ซ้อมหลังเลิกงาน ถ้าไม่มีสนามนี้ ก็ไม่รู้จะได้ซ้อมเยอะขนาดนี้มั้ย ขอบคุณกทม. และพี่รปภ.สวนรถไฟ สนามซ้อมอีกแห่งหนึ่งทุกเช้าวันอาทิตย์

ปล. สนามขอนแก่น เราว่าง่ายนะ เมื่อเทียบกับพัทยาและมาเก๊า จุดเด่นคือ 6 กม.สุดท้ายวิ่งในมหาลัย กองเชียร์มันส์มาก ช่วยให้มีแรงฮึด 4 กม.สุดท้ายเป็นทางลง ประเสริฐมากสำหรับนักวิ่งมาราธอน

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง
มาราธอนแรก: พัทยามาราธอน 2015
บันทึกการแข่งขันมาเก๊ามาราธอน 2016

Saturday, June 17, 2017

บันทึกการแข่งขัน 1500/3000 ครั้งแรก | 4 comments:

จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกซะทีเดียว เพราะสมัยประถมเคยแข่ง 3000 เมตร อยู่ครั้งนึงในกีฬาสี ตอนนั้นอยู่ ป.6 แล้วไม่มีคนลง เราในฐานะพี่ใหญ่เลยต้องแสดงสปิริตลงเอง แข่งกัน 4 สี...มีเหรียญให้ 3 อันดับแรก...และเราได้ที่ 4 T_T

หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เฉียดใกล้กีฬาลู่ใดๆ อีกเลย ได้แต่เล่นซอฟท์บอล วอลเล่ย์ สนุกๆไปตามประสา ไม่เคยเป็นนักกีฬาตัวแทนโรงเรียนอะไรทั้งนั้น มาเล่นกีฬาอีกทีตอนสามสิบกว่า ก็คือการวิ่งถนนนี่แหละ เรียกว่าต้นทุนเป็น 0 อย่างแท้จริง

ปีนี้โชคดี ผจก.ทีมกรีฑาของมหาลัย ชวนไปแข่งกีฬาบุคลากร สกอ. (บุคลากรของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ) รีบตกลงทันที กลัวเค้าเปลี่ยนใจ ^ ^"

ป้ายห้อยคอนักกีฬาอันแรกในชีวิต น้ำตาจิไหล


ปีนี้ ม.พะเยาเป็นเจ้าภาพ รายการนี้จึงชื่อว่า พะเยาเกมส์ แต่เนื่องจาก ม.พะเยาไม่มีสนามกรีฑามาตรฐาน ทีมกรีฑาเลยต้องมาแข่งที่ ม.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย แทน

พี่คะ...นี่มันมหาลัยหรือรีสอร์ทคะ บรรยากาศดีโคตรๆ มหาลัยตั้งอยู่เชิงเขา อาคารเรียน หอพัก ปลูกขึ้นไปบนภูเขา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า แบบป่าจริงๆ ป่าทึบๆ เลย มองทางไหนก็เขียวสบายตาไปหมด เคยไป ม.ต่างจังหวัดมาหลายที่ บอกเลย ที่นี่ชนะเลิศ

สนามกีฬา มฟล. อยู่ท่ามกลางขุนเขาเช่นนี้แล

เราแข่ง 2 รายการ คือ 3000 ม. และ 1500 ม. ถ้าเป็นนักวิ่งถนนก็คงจะคิดว่า แค่ 3 กม. กับ 1.5 กม. ชิวๆ ...เราก็คิดอย่างงั้น ^ ^" จริงๆ ก็รู้นะ ว่ายิ่งวิ่งสั้นยิ่งต้องเหนื่อย แต่เพราะไม่เคยแข่ง เลยจินตนาการไม่ออก

ผลคือรายการแรก 3000ม. จบ 400 เมตรแรกอย่างสง่างาม เพซ 4:00 ก็มันยังไม่เหนื่อยไง นี่ยั้งๆ แล้วนะ ขอแค่เกาะกลุ่มแรกไปห่างๆ แต่หลังจากนั้นความเหนื่อยเริ่มมา ขาเริ่มหนัก ความเร็วตกลงเรื่อยๆ จบกม.แรกที่เพซเฉลี่ย 4:30 เริ่มรู้ตัวว่าแล้วไม่ใช่คู่แข่งที่คู่ควรของกลุ่มผู้ชนะ หลังจากนั้นก็หนังชีวิต โดนแซงไปคนแล้วคนเล่า แต่ละรอบช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดก็ลากสังขารจนครบระยะได้ด้วยเวลา 15:43 นาที หรือเพซเฉลี่ย 5:14 นาที/กม. ... นี่แกวิ่ง 10K ใช่ม้าย อืดขนาดนี้

จับระยะและ hr ด้วย Polar M200 จะเห็นว่ามี hr เพี้ยนช่วงต้นกม.3
เพราะความจริงเราเหนื่อยระดับโซน 5 ตลอดทาง
https://www.endomondo.com/users/862998/workouts/945323014 

เข้าเส้นชัยแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้ที่เท่าไหร่ ที่แน่ๆ ไม่ใช่ 1-3 ที่ไม่รู้เพราะเค้าแข่งรวม 3 รุ่นอายุพร้อมกัน เลยดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร หลังจากรออยู่นานผลก็ออกมาดังนี้

ที่โหล่

คำว่า >>ที่โหล่<< ก้องสะท้อนในหัว (DNS คือ Did not start - ไม่ได้ลงแข่ง) ไม่น้าาาา เพราะสถิติที่ลงไว้ก็ไม่ตรงกับ Polar M200 ที่ข้อมือของเรา ซึ่งจับได้ 15:43 นาที คาดว่าที่ใช้เวลานานคงเพราะมีปัญหาเรื่องตรวจสอบเวลานี่แหละ เค้าไม่ได้ใช้ชิปจับเวลา แต่ใช้คนขาน+กล้อง ตาม procedure มาตรฐาน พอคนเยอะและมีหลายกลุ่มอายุปนกัน เลยมั่ว แต่ไม่ว่าเราจะอยู่อันดับ 7-6-5 หรือ 4 ดูจากสถิติแล้วก็ถือว่าเราวิ่งห่วยนั่นแหละ จบ!!

  
กล้องถ่ายเส้นชัย มีเขตกั้นห้ามคนยืนขวาง

เซ็นเซอร์อะไรซักอย่าง ถ้ามีคนวิ่งผ่านคงจะ trig ให้กล้องถ่ายภาพ 1 ช็อต
(เดาจากเซนส์ ยังไม่ได้หาข้อมูล)

จบวันแรกด้วยความช้ำใจ วันรุ่งขึ้นแข่ง 1500 เมตร คราวนี้แข่งรวมแค่ 2 รุ่น คือ 40-44 ปี และ 45-49 ปี เราจำหน้า จำชุดคู่แข่งร่วมรุ่นมาอย่างถ้วนถี่ จะต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองได้อันดับไหน ไม่อยากเชื่อกรรมการแล้ว และอีกบทเรียนที่สำคัญมากคือ เราจะไม่เร่งตามกลุ่มผู้นำแล้ว รักษาจังหวะที่เคยลงคอร์ต 1K ของตัวเองไปเรื่อยๆ ดีกว่า แล้วค่อยไป fine tune กันหน้างานอีกที (เราไม่เคยซ้อมสำหรับ 1500/3000 โดยเฉพาะเลย อาศัยบุญเก่าจากการวิ่งถนนล้วนๆ)


มีเวลา 9 นาทีค่อยเปิดดูค่ะ มาเชียร์นักวิ่งจากหมู่บ้านเพนกวิ้นกัน ^ ^ เปิด CC ด้วยนะ

ผลคือ ได้อันดับ 4 ค่ะ ห่างจากที่ 3 แบบไม่มีลุ้น แต่ก็พอใจที่คุมจังหวะตัวเองได้ รอบสุดท้ายเร่งได้ และหนีการโดนปาดหน้าเส้นได้ ณ จุดนั้น ตาลาย ขายกไม่ขึ้นแล้ว แต่พยายามจัดระเบียบร่างกายให้ฟอร์มพาไป 

คาดว่าคนที่ 6 คงเห็นว่าห่างมากแล้ว เลยถนอมตัว DNF ไปรอแข่งรายการอื่นดีกว่า...เค้าเอาจริงกันขนาดนี้

การแข่งวิ่งระยะไกล (ในกรีฑาประเภทลู่นั้น 1500 ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นระยะไกลแล้วค่ะ) ครั้งแรกนี้เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก ทำให้รู้จักความตื่นเต้นแบบสุดๆ ขณะรอสตาร์ท ทำให้รู้ว่าทำไมนักกรีฑาถึงต้องตั้งสมาธิ ทำให้รู้ว่าแผนการวิ่งสำคัญขนาดไหน ทำให้รู้ว่าอยากเก่งระยะไหนก็ต้องซ้อมระยะนั้นอย่างจำเพาะเจาะจง และทำให้รู้ว่า "การแข่งขัน" ทำให้คนระเบิดพลังออกมาได้ ยิ่งแข่งในลู่ที่เห็นคู่ต่อสู้ทั้งหมด และมีคนเห็นเราตลอดเวลา ยิ่งสู้ตาย สิ่งนี้เป็นสเน่ห์สูงสุดของการวิ่งในลู่ ที่การวิ่งถนนให้ไม่ได้ เราเชียร์นักกีฬาทั้งม.เดียวกันและม.อื่น อยู่ 3 วัน บางรายการอินถึงขนาดน้ำตาคลอๆ ในสปิริต ... เหรียญกรีฑารายการนี้มันมีคุณค่าจริงๆ 

เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นหลักไมล์ให้เราตั้งเป้าหมาย ว่าสถิติในปีหน้าต้องดีกว่านี้ และถ้ายังไม่ตายเสียก่อน เรามีเวลาอีก 18 ปี จะต้องสอยเหรียญรายการนี้มาให้ได้...สักครั้งในชีวิต   *** (update มิถุนายน 2019)  วันนี้เราได้เหรียญทั้งสองรายการแล้วนะคะ เขียนเล่าไว้แล้วใน รีวิวตารางซ้อมวิ่ง 1500 และ 3000 เมตร ของ Jack Daniel ***




ปล. พบข้อเสียอย่างนึงของ Polar M200 นั่นคือ เวลาจะวิ่งมันกด start ยาก ต้องใช้การกดปุ่มค้างไว้แป๊บนึง อีตอนวิ่งถนนมันก็พอมีเวลารอนะ แต่ถ้าเอามาวิ่งลู่เนี่ย จะมาพะวงกดนาฬิกามันก็ไม่ใช่อะกิ๊บ ผลก็คือตอนวิ่ง 1500 เรากดสตาร์ทไม่นานพอ นาฬิกาไม่จับระยะให้ T_T อดเห็นข้อมูลเลย

Wednesday, December 7, 2016

บันทึกการแข่งขันมาเก๊ามาราธอน 2016 | 2 comments:

อากาศเย็น การฝึกซ้อมตามความเหนื่อย และ การแข่งขันด้วยความนิ่ง
3 อย่างนี้คือปัจจัยที่ทำให้มาราธอนครั้งนี้ทำความเร็วดีกว่าที่คาดไว้
(ซ้อมมา 6:30 ทำได้จริง 6:18 นาที/กม.)

ขโยกเขยกเข้าเส้นชัย
ปล่อยตัว 6 โมงเช้า อุณหภูมิเริ่มต้นที่ 20 c
https://www.endomondo.com/users/862998/workouts/843589000

1) ที่ความเร็วเท่ากัน วิ่งในอากาศเย็นจะเหนื่อยน้อยกว่าวิ่งในอากาศร้อน

2) แต่แน่นอน ในการแข่งขันเราไม่ได้อยากเหนื่อยน้อยลง เราอยากวิ่งเร็วขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ ควบคุมความเหนื่อยให้เท่ากับตอนซ้อมเพซมาราธอน แล้วปล่อยความเร็วให้เพิ่มไปตามธรรมชาติ

เราทำแบบนี้ได้เพราะฝึกควบคุมความเหนื่อยที่ระดับต่างๆ มาโดยตลอด

ปัญหาคือ เมื่อผ่านไปครึ่งทางแล้วพบว่าเพซเฉลี่ยลงมาถึง 6:1x นาที/กม. ในขณะที่หัวใจยังเหลือ room ให้เพิ่มได้อีกเยอะ...แต่เราไม่กล้าเพิ่มว่ะแก ^ ^" แค่นี้ก็เร็วกว่าที่ซ้อมมาเยอะแล้ว และท่าวิ่งตอนนี้ก็ลื่นไหลดีอยู่แล้ว ถ้าต้องออกแรงมากกว่านี้/เปลี่ยนจังหวะให้เร็วกว่านี้ เราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน กม.ท้ายๆ ...และเราจะไม่เสี่ยง

HR เพี้ยนช่วงแรก เลยมีโซน 5


3) ที่ตัดสินใจแบบนี้เพราะเตรียมคาถามาจากบ้านแล้วว่า เราจะแข่งขันด้วยความนิ่ง นั่นคือ เราจะทำเฉพาะสิ่งที่ซ้อมมา เราจะไม่เปลี่ยนใจกลางอากาศ เราจะรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอที่สุด เราจะไม่แข่งกับใครทั้งสิ้น ไล่ได้ก็จะไม่ไล่ ฉีกหนีได้ก็จะไม่ฉีก ตั้งสติอยู่กับตัวเองเท่านั้น

คาถานี้ ให้ผลดีกับเราเสมอในการซ้อมวิ่งยาว เคยใช้ทดสอบตบะตัวเองเป็นระยะด้วยการซ้อมในงานวิ่ง (แกนึกออกใช่มั้ย ว่ามันเป็นยังไง 555+) อีกคาถาที่เตรียมมาคือ "อีก 1 รอบ สรฟ.เอง" เราเตรียมไว้ในกรณีที่เกิดชนกำแพง หรือท้อแท้กะทันหัน แต่ไม่ได้งัดมาใช้เพราะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นเลย

สนใจเรื่องคาถา อ่าน วิ่งทันโลก 13: คาถาเพิ่มความอึด

เรื่องเลวร้ายที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้มีเพียงตะคริวที่ฝ่าเท้าซ้าย ตอน กม. 38 สักพักก็หายไป แต่จะเร่งขึ้นมาใหม่ก็คล้ายๆ จะมาอีก เลยได้แต่เปิดโหมด auto pilot โขยกเขยกพาร่างไปเรื่อยๆ อดเข้าเส้นชัยท่าเท่ๆ เลย เฟร็ง!!

หัวใจและเพซ
ช่วงแรกหัวใจเพี้ยน ส่วนเพซเพี้ยนในช่วงที่วิ่งใต้ทางรถไฟและช่วงที่มีตึกสูงขนาบข้าง
ทำให้จับระยะได้มากกว่าความเป็นจริง


สิ่งที่ต้องแก้ไขปรับปรุงในการซ้อมและแข่งขันครั้งต่อไป 


1) เพิ่มโปรแกรมซ้อม ให้มีวิ่งฮาล์ฟแบบเอาจริง 1-2 ครั้ง เพื่อให้อุ่นใจว่าเคยซ้อมมาแล้ว เร่งได้
2) ปรับปรุงการ Taper (ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง) เพื่อให้ running performance ไม่ตก
3) ก่อนวันแข่งขัน อย่าเดินเยอะแบบครั้งนี้ เดินจนเมื่อย อยากเขกหัวตัวเองจริงๆ

พูดแบบนี้ ไม่ได้จะซ้อมมาราธอนต่อเลยหรอกนะ ^ ^" ... การแข่งมาราธอนแบบจริงจังมันทารุณต่อร่างกายพอสมควรทีเดียว เล่าเหมือนชิว แต่ขอบอกว่า...ที่สุดของแจ้เลยแกรรรร > < ปีนึงคงลงแค่ 1-2 ครั้งพอแร้ว

อ่านการฝึกซ้อมทั้ง 12 สัปดาห์ของเราได้ เริ่มต้นจาก การฝึกซ้อมมาเก๊ามาราธอน สัปดาห์ที่ 1

ไฮไลต์ของงาน-ข้ามทะเลด้วย 2 สะพานยาวๆ

รีวิวงานวิ่งมาเก๊ามาราธอน


ข้อดี

1) จัดงานดี มีระบบ สต๊าฟเยอะ ชอบทุกอย่าง ทุกขั้นตอน
2) เส้นทางครึ่งแรกมีข้ามเกาะด้วย 2 สะพาน สวยงาม ลมเย็น บรรยากาศสุดยอด
ปิดถนนได้ดี มีส่วนที่ต้องวิ่งคู่กับรถบ้าง แต่ก็กั้นด้วยกรวยและเทปตลอดทางทำให้รู้สึกอุ่นใจ
3) เกลือแร่อุดมสมบูรณ์ ครึ่งหลังมีทุกสเตชั่น
4) อากาศค่อนข้างเย็น แม้ปีนี้จะอุ่นไปหน่อย แต่ปีอื่นๆ น่าจะเย็นกว่านี้
5) คัทออฟท้าทาย (5 ชั่วโมง) ทำให้เพื่อนร่วมสนามมีฝีเท้าดี พาให้เราฮึดไปด้วย

หน้าสเตเดียม สถานที่รับบิบ
ข้อเสีย


1) วันรับบิบไม่มีงาน Expo มีแต่จุดขายของที่ระลึกเหงาๆ ที่เดียวเท่านั้น 
2) ปล่อยตัวสายไป (6 โมงเช้า) กว่าจะเข้าเส้นชัยปาไป 10 โมงครึ่ง ถ้าปีไหนแดดแรงนี่คงนรกชัดๆ แถมปล่อยพร้อมระยะฮาล์ฟด้วย ใครเผลอวิ่งตามนักวิ่งฮาล์ฟมีหวังยางแตกแน่นอน
3) เส้นทางครึ่งหลังวนซ้ำ 2 รอบ ค่อนข้างน่าเบื่อ (แต่ส่วนตัว เราโอเคนะ เพราะใจมุ่งอยู่กับตัวเองเท่านั้น สภาพแวดล้อมไม่มีผลอะไร)
4) เสื้อฟินิชเชอร์เป็นเสื้อกล้ามง่อยๆ อะไรดลใจให้แกทำแบบน้านนนน
5) มีเช็คพ้อยท์เยอะมาก แต่ผลการแข่งขันมีแค่ Chip Time กับเวลาครึ่งทาง เค้าอยากรู้ละเอียดๆ ง่าาา 

ต้องเข้ามาก่อน Cut-off 5 ชั่วโมง ถึงจะได้เหรียญนี้
เกิน 5 ชั่วโมงปุ๊บ ปิดประตูสนามปั๊บ เดินคอตกกลับบ้าน ไม่ได้อะไรเลย T_T

ทุกคนที่เข้าเส้นชัยทันเวลาจะได้รับผ้าเช็ดตัว
(เรียกผ้าเช็ดตัวฟินิชเชอร์ได้ป่าวหว่า)
มาราธอนครั้งที่ 3 ในชีวิต ทำให้ตระหนักอย่างแท้จริงว่า "มาราธอนเริ่มขึ้นตั้งแต่วันสมัคร และจบไปแล้วในการซ้อมวันสุดท้าย" นั้นเป็นยังไง 

มาราธอนไม่มีปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นระยะอื่นแกอาจมาระเบิดพลังในวันแข่ง สร้างความประหลาดใจให้ชาวโลกได้ เพราะอย่างไรเสียก็วิ่งไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่กับมาราธอน ซ้อมมายังไง แกก็ทำได้อย่างนั้น...พูดให้ถึงที่สุดคือ แกรู้ผลการแข่งขันตั้งแต่ตอนกำหนด marathon pace ในวันแรกของตารางซ้อมแล้ว เมื่อไหร่ก็ตาม แกโลภ ซ้อมแค่เกรด C แต่อยากได้สถิติเกรด A เมื่อนั้นแกจะพัง

อีกอย่างที่ซึ้งแล้ว ณ จุดนี้ก็คือ คำของน้องสาวคนนึงที่เคยพูดไว้ว่า "การวิ่งมาราธอน (รวมมินิและฮาล์ฟด้วย) เป็นกีฬาประเภทเดียวที่ ไม่ว่าคุณจะเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 หรือที่ 238 คุณก็เป็นผู้ชนะได้"

มันใช่เลย...ตลอดการ"แข่งขัน" คนเดียวที่เราแข่งด้วยคือตัวของเรา จิตใจของเรา ดังนั้น ถึงจะเข้าเส้นชัยตอนคนโหรงเหรงแล้ว เราก็ยังชูกำปั้นข้ามเส้นอย่างไม่อายใคร รู้สึกได้ถึงชัยชนะอย่างแท้จริง

ส่วนถ้วยนะเหรอ...ก็กลับมารับกับ ฯพณฯ Endo ไง
แค่นี้ความสุขก็อาบทั่วร่างแล้ว ^_____^


Friday, July 15, 2016

มาราธอนแรก: พัทยามาราธอน 2015 | 5 comments:

หลังจากวิ่งมาเกือบ 5 ปี ในที่สุดมาราธอนแรกของเราก็มาถึงเสียที ถามว่าพร้อมแล้วเหรอที่ตัดสินใจลงมาราธอน...ก็ไม่พร้อมหรอก สถิติที่ตั้งใจไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ว่าต้องทำให้ได้ก่อน ถึงจะวิ่งมาราธอน ตามที่โค้ชเคยแนะนำไว้ ก็ยังทำไม่ได้ซักกะอัน (มินิฯต่ำกว่า 50 นาที/ฮาล์ฟฯต่ำกว่า 1:50 ชม.) แค่รู้สึกว่าเราสะสมไมล์ ความรู้ เทคนิค มาเพียงพอแล้ว และที่สำคัญ หลังจากปลอดอาการบาดเจ็บมานาน จึงคิดเอาเองว่าน่าจะซ้อมมาราธอน 16 สัปดาห์ตลอดรอดฝั่งโดยไม่เจ็บได้แล้ว

ที่เลือกมาราธอนแรกที่พัทยาไม่ใช่เพราะอยากได้สนามโหดๆ แต่เพราะช่วงเวลานี้ของปีเป็นช่วงที่เรามั่นใจว่าจะไม่ติดธุระการงานอะไรกะทันหันแน่นอน ซึ่งนี่ทำให้เราเป็นแฟนพันธุ์แท้พัทยามาราธอนคนนึงก็ว่าได้ ตั้งแต่วิ่งมา ก็ลงพัทยามาราธอนทุกปี (2 มินิ 2 ฮาล์ฟ) ความดีงามอีกหลายอย่างของงานนี้ก็เช่น ปิดถนนดีมาก ที่พักใกล้จุดสตาร์ทหาง่าย ไม่แพง ไม่ไกลกรุงเทพ ของกินแถวที่พักอุดมสมบูรณ์ วิ่งเสร็จแล้วมีที่เที่ยวต่อ ไม่ได้มาวิ่งเฉยๆ แล้วกลับบ้าน

การฝึกซ้อม


แต่ปรากฏว่าซ้อมได้จริงจังแค่ 6 สัปดาห์แล้วก็เริ่มเจ็บออดๆ แอดๆ ที่จุดเดิมคือที่เอ็นใต้ตาตุ่มขวา แล้วพอไปวิ่งเทรลขึ้นดอยปุย ก็เจ็บจุดใหม่คือเอ็นร้อยหวายข้างขวา (เรื่องการบาดเจ็บนี้เดี่๋ยวจะเล่าให้ฟังในคราวถัดไป ยังไม่อยากดราม่า ^ ^) จึงทำให้ต้องซ้อมแบบ "หายก็วิ่ง เจ็บก็พัก" อยู่อย่างนั้นอีก 10 สัปดาห์ จนถึงวันแข่ง

Sunday, March 6, 2016

บันทึกเท้าเปล่า: กิโลเมตรที่ 5-10 | 2 comments:

กลับไปอ่านโพสต์ บันทึกเท้าเปล่า: กิโลเมตรที่ 0-4 พบว่าตัวเองเคยตั้งใจจะลงวิ่งมินิมาราธอนเท้าเปล่าตั้งแต่ปลายปี 2556 (2013) เอาเข้าจริง กว่าจะได้วิ่งมินิฯเท้าเปล่าครั้งแรกก็ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ 2 ปี 4 เดือนโน่น จำไม่ได้แล้วว่าทำไมปลายปี 56 ถึงไม่ได้วิ่ง เดาว่าคงเป็นเพราะพอวิ่งยาวขึ้นเรื่อยๆ ซัก 5-6 กม. แล้วพบว่ายังแก้ปัญหาวิ่งแล้วเท้าพองไม่ได้ 

SET BULL RUN งานวิ่งมินิมาราธอนเท้าเปล่าครั้งแรก
SET BULL RUN งานวิ่งมินิมาราธอนเท้าเปล่าครั้งแรก

Thursday, February 11, 2016

วิ่งไปอ่านไป 3: ตามรอยสนามซ้อมมูราคามิ | 4 comments:

ปลายปีที่แล้วไปเที่ยวญี่ปุ่นมาค่ะ พกหนังสือ "เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง" ที่อ่านค้างไว้สมัยเริ่มวิ่งใหม่ๆ ไปด้วย น่าแปลก เรื่องที่เคยรู้สึกว่าอ่านยาก มาวันนี้กลับอ่านได้ลื่นไหลจนถึงขั้นอิน...อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปด้วยละมั้ง อย่ากระนั้นเลย เพื่อให้อินยิ่งๆ ขึ้นไป งั้นเราไปตามหา "จิงงุ ไงเอ็น" สนามซ้อมที่เฮียมูกล่าวถึงไว้ในหนังสือกันเถอะ !!


ตามรอยสนามซ้อมมูราคามิ


Monday, May 11, 2015

การฝึกซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 6 | 3 comments:


City Run วันฉัตรมงคล
Cr. Apicharn Oun Sirichote

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2558: พัก


ผลการฝึกซ้อม: วิ่ง City Run งานฉลองวันฉัตรมงคล ระยะทาง 10.22 กม. เวลา 1:39 ชม.

จริงๆวันนี้ต้องพัก แต่จำเป็นต้องวิ่งเพราะเป็นหนึ่งในทีมงานผู้จัด ก็เลยต้องสลับเอาวันพักไปไว้พรุ่งนี้แทน ถือว่าได้ 0.5 คะแนน เพราะจริงๆแล้วพรุ่งนี้เป็น interval

Monday, May 4, 2015

การฝึกซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 5 | 7 comments:


ตารางฝึกซ้อมพัทยามาราธอนสัปดาห์ที่ 5
ตารางฝึกซ้อมพัทยามาราธอนสัปดาห์ที่ 5
คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

ไม่ได้วิ่งเลยตั้งแต่วันพฤหัสสัปดาห์ที่แล้ว รอให้เอ็นใต้ตาตุ่มหายสนิท กระโดดขาเดียวได้แล้วก็ไม่วิ่ง หมุนเท้าตามมุมต่างๆไม่ตึงแล้วก็ยังไม่วิ่ง รออีก 2 วันถึงลองวิ่งเป็นครั้งแรก...ไม่ใช่อะไรหรอก...กลัวโดนเก็บตังค์ 555+ (อ่านบันทึกการซ้อมสัปดาห์ที่ 4 ค่ะ ถ้าไม่เก็ท) ดังนั้นสัปดาห์นี้จึงได้วิ่งวันเดียวเท่านั้น คือวันสุดท้ายเลย

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2558: วิ่งยาว 1 ชั่วโมง 30 นาที HR ในช่วง 148-162 bpm

ผลการฝึกซ้อม: วิ่งระยะทาง 12:45 กม. เวลา 1:30 ชั่วโมง เพซเฉลี่ย 7:12 นาที/กม. 


ซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่5วันที่7
http://app.endomondo.com/workouts/514768036/862998

Monday, April 20, 2015

การฝึกซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 3 | 4 comments:



ตารางฝึกซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 3
คลิกที่รูปเพื่อขยาย

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2558: โยคะหรือพิลาทีส ไม่กำหนดเวลา

ผลการฝึกซ้อม: ไม่ได้ซ้อม เพราะเอาเวลาไปวิ่งยาวซ่อมตารางเมื่อวานแล้ว
=====================================

Monday, April 13, 2015

การฝึกซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 2 | 6 comments:


ตารางซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 2
คลิกที่รูปเพื่อขยาย

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2558: โยคะหรือพิลาทีส ไม่กำหนดเวลา

ผลการฝึกซ้อม: ไม่ได้ซ้อม อยากฟื้นสภาพให้เพียงพอเพราะเมื่อวานวิ่ง 42 กม.มา
=====================================

Monday, April 6, 2015

การฝึกซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 1 | 6 comments:


ตารางซ้อมพัทยามาราธอน สัปดาห์ที่ 1

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2558: ครอสเทรนนิ่ง 40 นาที

ผลการฝึกซ้อม: ไม่ได้ซ้อม เพราะเข้าใจผิดว่ายังไม่ได้เริ่มตาราง
=====================================

Friday, December 19, 2014

เที่ยวฮ่องกงฉบับนักวิ่ง | 11 comments:


เที่ยวฮ่องกง ฉบับนักวิ่ง


เมื่อต้นเดือนธันวาที่ผ่านมา เราไปเที่ยวฮ่องกงกับครอบครัวมาค่ะ 3 วัน 3 คืน ไปเอง-จัดโปรแกรมเอง ส่วนใหญ่ก็ไปที่ที่ชาวบ้านเค้าไปกันนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็น The Peak /Nong Ping/ดูไฟที่ Avenue of The Star ฯลฯ แต่ที่พิเศษก็คือ เราขอแยกตัวออกมาครึ่งวันเพื่อสร้างแลนด์มาร์ค วิ่งรอบเกาะฮ่องกงฝั่งตะวันตก ให้สมกับที่ได้มาฮ่องกงตอนสังขารยังไหวอยู่ ^ ^ (เขียนมาถึงตรงนี้ก็นึกเสียดายว่า เราน่าจะรู้จักการวิ่งตั้งแต่ยังสาวกว่านี้เนอะ การไปต่างประเทศที่ผ่านๆ มาคงมีสีสันขึ้นอีกโข บางประเทศก็ไม่รู้จะได้กลับไปอีกเมื่อไหร่เลย)

แล้วทำไมต้องเป็นเกาะฮ่องกงฝั่งตะวันตก?! ไม่มีอะไรมากค่ะ เหตุผลหลักก็คือ เราไปส่องใน Garmin Connect และ Endomondo เห็นวิ่งฝั่งนี้กันมากกว่าฝั่งตะวันออก เหตุผลถัดมาคือระยะทางอยู่ในวิสัยที่เราจะวิ่งได้ภายในครึ่งวัน (ประมาณ 26 กม.) ส่วนเรื่องที่ว่า ระหว่างทางวิ่งจะมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ดูมั้ย อันนั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม เพราะสำหรับเรา การได้เห็นบ้านเมือง เห็นธรรมชาติ เห็นความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง แค่นี้ก็ถือว่าได้ “เที่ยว” แล้วอะค่ะ

Friday, November 14, 2014

8 กลยุทธ์สุดเวิร์คสู้เตียงดูด | 8 comments:

วิ่งเวลาไหนดีที่สุด? เชื่อว่าทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยคะว่าคำตอบคือ...เวลาไหนก็ได้ที่ว่าง และถ้าจะให้ดีควรวิ่งเวลาเดิมทุกครั้ง เพื่อให้เกิดเป็นกิจวัตรและกลายเป็นนิสัยต่อไป

แต่สำหรับคนที่เลือกแล้วว่าจะวิ่งตอนเช้ามืด เพราะอากาศเย็นสบายและ make sure ว่ามีเวลาวิ่งแน่ๆ (ไม่เหมือนการเลือกวิ่งตอนเย็น ที่อาจมีข้ออ้างว่าทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน หรือโดนธุระอื่นเข้าแทรก) บางครั้งถึงแม้จะตั้งใจแค่ไหน แต่พอเสียงนาฬิกาปลุกดังปุ๊บกลับลุกไม่ขึ้นซะงั้น จะตื่นอีกทีก็ตอนที่ต้องลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานแล้วนั่นแหละ T_T

8 กลยุทธสุดเวิร์คสู้เตียงดูด
Icon Cr. Luis Prado from the Noun Project

อาการนี้รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "เตียงดูด" นักวิ่งไม่ว่าจะหน้าใหม่หน้าเก่า ต่างเคยเป็นผู้ประสบภัยเตียงดูดมาแล้วทั้งนั้น เราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ^ ^" แต่เมื่อประสบการณ์มากขึ้น อาการก็ทุเลาลงจนหายไปในที่สุด วันนี้เราจึงขอแชร์กลยุทธ์ทั้ง 8 วิธี ที่ใช้แล้วได้ผลกับตัวเอง ใช้เดี่ยวๆบ้าง ใช้เสริมกันหลายๆดาบบ้าง แล้วแต่ดีกรีความขี้เกียจ ลองทรรศนาดูค่ะ

Tuesday, August 5, 2014

ปั่นไปวิ่งไป 3: พุทธมณฑล | 2 comments:

นี่คือการ "ปั่นไปวิ่ง" ที่ไม่มีตัวช่วยเลยเป็นครั้งแรก หลังจากสองครั้งที่ผ่านมา คือที่ราชบุรีและพิษณุโลก ใช้ตัวช่วยเป็นรถไฟและรถสองแถวรับส่งจากผู้จัดงาน เพื่อทุ่นระยะทางปั่นให้ แต่เนื่องจากครั้งนี้สถานที่จัดงานวิ่งอยู่นครปฐมแค่นี้เอง เราจึงตัดสินใจ "ปั่นล้วน" ทั้งขาไปและขากลับ

ม.คริสเตียน มินิมาราธอน พุทธมณฑล


Thursday, March 13, 2014

ปั่นไปวิ่งไป 2: เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน พิษณุโลก | 17 comments:

เป็นนักวิ่งให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

หนึ่งในนั้นคือ ให้เพื่อนนอกวงโคจรปกติของชีวิต ...มานั่งคิดๆดู ถ้าไม่ได้ทำกิจกรรมสหวิชาชีพแบบการวิ่ง เราก็คงมีแต่เพื่อนเรียนกับเพื่อนที่ทำงาน ซึ่งถ้าไม่เป็นวิศกรก็คงเป็นอาจารย์ และส่วนใหญ่ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเท่านั้น

แต่เมื่อมาวิ่ง เราได้รู้จักตั้งแต่เจ้าของบริษัทไล่มาจนถึงวินมอ'ไซค์ คนเชียงใหม่ถึงคนเบตง แต่ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรหรือเป็นคนที่ไหน ความรักในสิ่งเดียวกันทำให้เราคุยกันได้อย่างถูกอัธยาศัยและคุ้นเคยกันอย่างง่ายดาย ดังเช่นเพื่อนนักวิ่งชาวพิดโลก 2 ท่าน ที่คนนึงเป็นเพื่อนคนแรกๆที่รู้จักกันผ่าน blog อีกทั้งยังเคยแชร์ไอเดีย ทำยังไงเมื่อสายนาฬิกาขาด ใน blog นี้ อีกคนเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันใน social network และเราได้อาศัยวิ่งเกาะไปเมื่อคราวพัทยามาราธอน ที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทำให้เรามีไฟจนได้คลอดทริปนี้ขึ้นมาด้วย ขอถือโอกาสเปิดเรื่องด้วยการขอบคุณ คุณโจ้และพี่ต่อ มา ณ ที่นี้ก่อนเลยละกันค่ะ โชคดีจังเลยน้อเรา ^____^

สันเขื่อน แควน้อยบำรุงแดน

Tuesday, October 15, 2013

ขาดซ้อมหลายวัน ทำยังไงดี | 2 comments:

ป่วยแล้วจ้า!! ในที่สุดข้าพเจ้าก็ป่วย หลังจากที่ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อเลยมา 3 ปี...หรือพูดง่ายๆคือตั้งแต่เริ่มวิ่งนั่นเอง

อันที่จริงในช่วง 3 ปีนี้ เราเคยเป็นหวัดอยู่บ้าง 2-3 ครั้ง แต่ไม่เกิน 5 วันก็หายสนิท และอาการก็ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก ไปทำงานได้ตามปกติ เทียบไม่ได้เลยกับสมัยที่ยังไม่มาวิ่ง ที่เป็นหวัดบ่อย แพ้ฝุ่นแพ้อากาศตลอดเวลา

แต่ครั้งนี้คงถึงคราวที่ปัจจัยลบทั้งหลายมาบรรจบกันพอดี ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการงาน อากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวฝน และที่สำคัญคือเราไปเพิ่มโอกาสติดเชื้อเสียเอง จากการปั่นจักรยานตะลุยเส้นทางที่กำลังก่อสร้างเป็นเวลาหลายชั่วโมง สูดทั้งฝุ่นและเชื้อโรคจากถนนสุวินทวงศ์เข้าไปเต็มๆ กลับจากทริปนี้ปุ๊บ วันรุ่งขึ้นก็มีอาการภูมิแพ้ขึ้นมาทันที

ถนนสุวินทวงศ์ที่กำลังซ่อมแซม
ของจริงมีหลายช่วงเละเทะกว่านี้มาก แต่ไม่ได้ถ่ายไว้

Friday, August 23, 2013

4,000 กิโลเมตรแล้วจ้า | 10 comments:

เคยคาดการณ์ไว้ในตอนที่วิ่งครบ 3,000 กิโลเมตร ว่า ถ้าชีวิตไม่มีอะไรหักเห อีกประมาณ 7 เดือนแก่ๆ จากวันนั้น (17 ธันวาคม 2555) เราน่าจะวิ่งครบ 4,000 กม.ได้ ...และแล้วในวันนี้ (6 สิงหาคม 2556) เราก็ทำได้ตามนั้นจริงๆ...เวลาได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายเพียงไรนี่มันสุดยอดเร้ย ^____^ V

running diary

Wednesday, July 24, 2013

บันทึกเท้าเปล่า: กิโลเมตรที่ 0-4 | 8 comments:

เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะวิ่งเท้าเปล่า-ไม่ใส่รองเท้าใดๆ ไม่ว่า minimalist หรือ 5 fingers วิ่งมินิมาราธอนในงานกรุงเทพมาราธอนปลายปีนี้ จึงจะใช้บันทึกซีรี่ส์นี้เพื่อเล่าประสบการณ์หัดวิ่งเท้าเปล่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนครบ 10 กม. (ตอนนี้ยังไม่ครบ แต่มั่นใจว่าทำได้แน่) เพื่อเป็นแนวทางสำหรับเพื่อนนักวิ่งที่สนใจ ได้ศึกษาต่อไป (อันไหนดีก็เอาอย่าง อันไหนไม่ดีก็เอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ ^ ^)

เราลองหัดวิ่งเท้าเปล่า 2 กม.แรกด้วยตัวเอง ประมาณ 1 เดือน ก่อนที่จะไปเข้า workshop ของโยชิโนะซัง ที่จัดขึ้นโดย Bangkok Barefoot Run Club  โดยวิ่งในสนาม 400 เมตรที่ปูด้วยยางใหม่กริบ ดอกยางยังคมทิ่มเท้าอยู่มากแต่ก็อุ่นใจในระดับหนึ่งว่าไม่มีเศษแก้วเศษหิน การลงเท้าด้วย BoF ไม่ยากแล้วเพราะปรับท่าวิ่งในขณะใส่รองเท้ามาก่อนหน้านี้ อาการพื้นฐานที่คนฝึกวิ่งเท้าเปล่าแรกๆพึงมี นั่นก็คือ น่องตึงเปรี๊ยะจนวิ่งไม่ได้ไปอีกหลายวัน จึงไม่เกิดกับเรา แต่ฝ่าเท้าพองไปตามระเบียบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แค่รอให้หายสนิทแล้วค่อยวิ่งใหม่ ระหว่างนั้นก็วิ่งใส่รองเท้าไปตามปกติ เมื่อหายแล้ว ทีนี้ก็คอยระวังไม่วิ่งเยอะไปหรือเร็วไป คอยฟังเสียงประท้วงของฝ่าเท้าอยู่ตลอดเวลา เห็นท่าไม่ดีก็พอก่อน เมื่อทำได้เช่นนี้ก็ไม่มีอาการพองอีกเลย แม้จะยังวิ่งไม่ได้ไกลมากแต่ก็ยังดีกว่าต้องพัก

workshop วิ่งเท้าเปล่า โดย โยชิโนะซัง

Friday, June 28, 2013

Are we born to run? หรือว่าพวกเราเกิดมาเพื่อวิ่ง? | 6 comments:

เพื่อนๆนักวิ่งเคยดู TEDTalk กันบ้างหรือเปล่าคะ มันคือปาถกฐาให้ความรู้ในแขนงต่างๆ จากคนมีชื่อเสียง โดยเฉพาะคนที่มีความเชี่ยวชาญชนิดที่เคยลงมือปฏิบัติในด้านนั้นๆด้วยตัวเอง 

และแน่นอน หนึ่งในนั้นมีปาถกฐาจากนักวิ่งคนหนึ่ง ที่นักวิ่งคนอื่นๆไม่ควรพลาด...งั้นมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ 



คริสโตเฟอร์ แมคดูกัล ได้ยกปริศนาที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย 3 ข้อ อันได้แก่

1) มนุษย์ยุคแรก (คือโฮโมอีเรคตัส) ล่าสัตว์หรือฆ่าสัตว์ได้อย่างไร ?
บรรพบุรุษของเราสปีชี่ส์นี้ปรากฏกายขึ้นบนโลกเมื่อ 2 ล้านปีก่อน แต่เราค้นพบหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้อาวุธเมื่อ 2 แสนปีที่แล้วนี่เอง ถ้าเช่นนั้น ก่อนหน้านี้พวกเค้าเอาอะไรล่าสัตว์ ในเมื่อเครื่องมือก็ไม่มี วิ่งก็ช้าเมื่อเทียบกับสัตว์ทั่วไป ไม่มีพละกำลัง ไม่มีเขี้ยวเล็บ 

Tuesday, June 25, 2013

ท่าวิ่ง version 2 | 8 comments:

ผ่านไป 1 ปี จากที่เคยลงคลิปท่าวิ่ง version 1 
เรามีพัฒนาการด้านท่าวิ่งยังไงบ้าง มาดูกันค่ะ

เช่นเดิม ที่เห็นในคลิปคือท่าวิ่งของเราขณะ pace ประมาณ 5:10 นาที/กม.
(เพื่อการเปรียบเทียบที่ชัดเจน เราใส่ชุดเดิม รองเท้าเดิม แต่หมวกเดิมอยู่อีกที่นึง หาไม่ทัน...อ้อ...น้ำหนักเพิ่มจากปีที่แล้วเกือบ 3 กก.ด้วย T_T )



Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...