ความมืดคือปัญหา
มินิมาราธอนโดยทั่วไปจะปล่อยตัวประมาณ 6 โมงเช้า (ใช้คำว่า"ประมาณ"เพราะส่วนใหญ่ กว่าประธานจะกล่าวเปิดงานเสร็จก็ล่วงเลยกำหนดการ 6 โมงไปหลายนาที) ในกรณีที่ไม่ได้สมัครไว้ก่อน ช้าสุดที่ควรไปถึงงานคือตี 5 ครึ่ง เพราะไหนจะต้องต่อแถวสมัคร ฝากของ ติด BIB เข้าห้องน้ำ วอร์มอัพ...เยอะสิ่ง
มินิมาราธอนโดยทั่วไปจะปล่อยตัวประมาณ 6 โมงเช้า (ใช้คำว่า"ประมาณ"เพราะส่วนใหญ่ กว่าประธานจะกล่าวเปิดงานเสร็จก็ล่วงเลยกำหนดการ 6 โมงไปหลายนาที) ในกรณีที่ไม่ได้สมัครไว้ก่อน ช้าสุดที่ควรไปถึงงานคือตี 5 ครึ่ง เพราะไหนจะต้องต่อแถวสมัคร ฝากของ ติด BIB เข้าห้องน้ำ วอร์มอัพ...เยอะสิ่ง
ลองคำนวณคร่าวๆ ความเร็ว 20 กม./ชม. กับระยะทางประมาณ 25 กม. น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1:30 ชม. นั่นแปลว่าเราต้องออกจากบ้านตี 4 !! คุณพระช่วย ปั่นมาเป็นปีไม่เคยออกจากบ้านเช้ามืดขนาดนี้ เอาไงดีๆ จะซอกแซกไปตามถนนเล็กก็กลัวโจร จะปั่นสบายไปตามถนนใหญ่ที่ไม่เปลี่ยวก็กลัวรถยนต์สอย...แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้นะ
เนื่องจากความ critical ของสถานการณ์ ที่จะพลาดไม่ได้ เราจึงตั้งกระทู้ถามเข้าไปในเว็บบอร์ดของนักปั่น จึงทำให้รู้ว่า นักปั่นมีอยู่ทุกหัวระแหงจริงๆ ถามไปเหอะ ยังไงก็มีคนรู้ทางและเต็มใจตอบให้อยู่แล้ว จากการประมวลคำตอบจึงได้ข้อสรุปว่า ปั่นเส้นบรมราชชนนีโลด เช้าขนาดนั้น รถยังไม่เยอะ ไม่เปลี่ยว ชิดซ้ายไปเรื่อยๆ ต้องระวังหน่อยตอนตัดกับถนนอื่นเท่านั้น
ทีนี้ก็ประโคมเข้าไปสิคะ ไฟน่ะ
ก่อนหน้านี้ถ้าออกปั่นตอนกลางคืนเราจะปั่นอยู่ในมหาลัยเท่านั้น ไฟถนนสว่าง ปลอดตีนผีให้ต้องระวังตัว จึงติดแค่ไฟดวงเล็กเพื่อให้เป็นที่สังเกตเท่านั้น แต่เมื่อต้องออกถนนใหญ่ในเวลาตี 4 เรากับทีมงาน 1 คน จึงช้อปปิ้งไฟส่องสว่างและอุปกรณ์สะท้อนแสงอื่นๆ เข้าคลังแสงอย่างเต็มพิกัด ที่เห็นในรูปคือไฟเฉพาะที่เป็นของเรา ซึ่งปั่นอยู่ด้านหน้า ส่วนทีมงานซึ่งปั่นตามหลังจะหนักไปทางไฟท้าย
เนื่องจากความ critical ของสถานการณ์ ที่จะพลาดไม่ได้ เราจึงตั้งกระทู้ถามเข้าไปในเว็บบอร์ดของนักปั่น จึงทำให้รู้ว่า นักปั่นมีอยู่ทุกหัวระแหงจริงๆ ถามไปเหอะ ยังไงก็มีคนรู้ทางและเต็มใจตอบให้อยู่แล้ว จากการประมวลคำตอบจึงได้ข้อสรุปว่า ปั่นเส้นบรมราชชนนีโลด เช้าขนาดนั้น รถยังไม่เยอะ ไม่เปลี่ยว ชิดซ้ายไปเรื่อยๆ ต้องระวังหน่อยตอนตัดกับถนนอื่นเท่านั้น
ทีนี้ก็ประโคมเข้าไปสิคะ ไฟน่ะ
ก่อนหน้านี้ถ้าออกปั่นตอนกลางคืนเราจะปั่นอยู่ในมหาลัยเท่านั้น ไฟถนนสว่าง ปลอดตีนผีให้ต้องระวังตัว จึงติดแค่ไฟดวงเล็กเพื่อให้เป็นที่สังเกตเท่านั้น แต่เมื่อต้องออกถนนใหญ่ในเวลาตี 4 เรากับทีมงาน 1 คน จึงช้อปปิ้งไฟส่องสว่างและอุปกรณ์สะท้อนแสงอื่นๆ เข้าคลังแสงอย่างเต็มพิกัด ที่เห็นในรูปคือไฟเฉพาะที่เป็นของเรา ซึ่งปั่นอยู่ด้านหน้า ส่วนทีมงานซึ่งปั่นตามหลังจะหนักไปทางไฟท้าย
ขอลงรายละเอียดไว้ ณ ที่นี้ เผื่อเป็นประโยชน์
ไฟหน้าส่องสว่างขายเป็นชุดพร้อมแบตเตอรี่ ความสว่าง 650 Lumen 1,990 บาท
ไฟหน้าส่องสว่างขายเป็นชุดพร้อมแบตเตอรี่ ความสว่าง 650 Lumen 1,990 บาท
ไฟหน้า ไฟหลัง ดวงกลม 80 บาท
ไฟหลัง LED แถว 5 ดวง 100 บาท
ไฟกะพริบพันต้นแขน คู่ละ 250 บาท
แถบไฟเรืองแสง 100 บาท
ทั้งหมดนี้ทยอยซื้อสะสมจากตลาดนัดจักรยาน และคลองถม ส่วนตัวชอบไฟกะพริบพันต้นแขน และไฟหลัง LED แถว 5 ดวง เพราะสว่างและโดดเด่นเนื่องจากปรับ pattern ให้เป็นไฟวิ่งได้
ลุย !!
นักปั่นที่หลงมาอ่านบล็อกนี้อาจยิ้มที่มุมปากว่า...มันตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเร้อ...อะนะ ก็เก๊ามือใหม่ไม่เคยปั่นมืดตื๊ดตื๋อขนาดนี้นี่นา //ก้มหน้า เอานิ้วชี้จิ้มกัน
เราปั่นออกจากบ้านแถวพระรามเจ็ด ตอนตี 4:15 ถนนจรัญสนิทวงศ์ยามนี้แคบแสนแคบเพราะกำลังก่อสร้างรางรถไฟฟ้า นอกจากนี้ ทั้งที่ฝนไม่ตก แต่ถนนบางช่วงก็เฉอะแฉะจากน้ำที่ใช้ในการก่อสร้าง สุดปัญญาจะหลบหลีก เสื้อวิ่งที่เราใส่ปั่นออกมาจากบ้านจึงเปื้อนโคลนไปยันกลางหลัง
ต่อเมื่อเลี้ยวเข้า ถ.สิรินธรแล้วโน่นแหละ จึงได้หายใจทั่วท้อง ถนนเรียบกริบไร้หลุมบ่อ ไม่ต้องขี่พัวพันกับรถใดๆ แต่ก็ไม่เปลี่ยวเกินไปเพราะยังมีรถแล่นเลนในเป็นระยะ ส่วนที่หวาดเสียวที่สุดของเส้นทางนี้คือ ตอนที่ต้องข้ามสะพานยกระดับเพื่อไปลงที่ ถ.บรมราชชนนี เท่านั้นเอง เพราะสะพานยาวและค่อนข้างมืด เนื่องจากมีสะพานอีกอันนึงพาดทับอยู่ข้างบน แม้จะโปะไฟจนแพเทคยังอายแล้ว แต่ปั่นไปก็ยังต้องลุ้นไปอยู่ดีว่ารถจะเห็นชั้นม้ายยยย
ผ่านสะพานนั้นมาได้ สะพานที่เหลือก็ไม่มีปัญหาแล้ว ทางคู่ขนานของ ถ.บรมฯ เรียบกริบเช่นเดียวกับ ถ.สิรินธร เราทำความเร็วได้ดีที่สุดในช่วงนี้ ใช้เวลาทั้งหมด 1:15 ชม. ก็มาถึงบริเวณงาน
https://www.endomondo.com/workouts/315538081/862998ต่อเมื่อเลี้ยวเข้า ถ.สิรินธรแล้วโน่นแหละ จึงได้หายใจทั่วท้อง ถนนเรียบกริบไร้หลุมบ่อ ไม่ต้องขี่พัวพันกับรถใดๆ แต่ก็ไม่เปลี่ยวเกินไปเพราะยังมีรถแล่นเลนในเป็นระยะ ส่วนที่หวาดเสียวที่สุดของเส้นทางนี้คือ ตอนที่ต้องข้ามสะพานยกระดับเพื่อไปลงที่ ถ.บรมราชชนนี เท่านั้นเอง เพราะสะพานยาวและค่อนข้างมืด เนื่องจากมีสะพานอีกอันนึงพาดทับอยู่ข้างบน แม้จะโปะไฟจนแพเทคยังอายแล้ว แต่ปั่นไปก็ยังต้องลุ้นไปอยู่ดีว่ารถจะเห็นชั้นม้ายยยย
ผ่านสะพานนั้นมาได้ สะพานที่เหลือก็ไม่มีปัญหาแล้ว ทางคู่ขนานของ ถ.บรมฯ เรียบกริบเช่นเดียวกับ ถ.สิรินธร เราทำความเร็วได้ดีที่สุดในช่วงนี้ ใช้เวลาทั้งหมด 1:15 ชม. ก็มาถึงบริเวณงาน
มาดูคลิปกันค่ะ ว่ารถเราไฟแพรวพราวขนาดไหน ^ ^ นี่ยังไม่รวมแถบสะท้อนแสงตามกางเกง รองเท้า และกระเป๋าคาดหลังนะ
งาน ม.คริสเตียน มินิมาราธอน
เคยอ่านเจอว่าพื้นที่ในพุทธมณฑล ไม่ใช่จะขอจัดงานวิ่งกันได้ง่ายๆ เราจึงไม่เห็นงานวิ่งไหนจัดกันในที่แห่งนี้ จะมีก็แต่ในพื้นที่ใกล้เคียงคือ ถ.อุทยาน เท่านั้น งานเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษคืองานของ ม.คริสเตียนนี่เอง จริงเท็จก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่วิ่งมา 4 ปี ก็เห็นตามนั้น
เรามาถึงงาน 5:30 น. พอดีเป๊ะ โชคดีที่แถวสมัครหน้างานไม่ยาวเท่าไหร่ ได้ BIB แล้ว ก็เอาจักรยาน 2 คันและสัมภาระไปฝาก ที่เหลือก็แค่ติด BIB และเปลี่ยนจากกางเกงจักรยานเป็นกางเกงวิ่ง รองเท้าไม่ต้องเปลี่ยนเพราะเราใส่ Tarther คู่เก่งปั่นมาจากบ้านเลย แม้ว่าจะไม่เหมาะสำหรับปั่นเพราะพื้นรองเท้าบาง ในระดับจับงอได้ แต่ปั่นใกล้ๆ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนวอร์มอัพไม่ต้อง เพราะกว่าจะปั่นมาถึงก็เหงื่อท่วมตัวแล้ว
ความตั้งใจในการวิ่งครั้งนี้คือ ทำเวลา 10K ต่ำกว่า 1 ชม. มักน้อยเพราะไม่ค่อยได้ซ้อม ขอวิ่งสบายๆ บ้างเห๊อะ ^ ^ ซึ่งก็ทำได้ตามที่ตั้งใจ แม้จะหยุดยืนกินน้ำทุก station เพราะใช้แก้วพกพา ต้องบอกน้องๆ staff ทุกจุดว่า "แก้วนี้ยังไม่ได้ใช้ อย่าทิ้งนะคะ" และยิ้มหวานๆ สำทับไปอีกหนึ่งที ไม่รู้จะได้ผลมั้ย ก็ได้แต่หวังว่า น้องๆ staff ซึ่งเป็นนักศึกษาของ ม.คริสเตียน จะเข้าใจจุดประสงค์และนำแก้วไปใช้ซ้ำอีกครั้ง
ขอเล่าถึงเส้นทางวิ่งสั้นๆ ดังนี้ว่า วกไปวนมา แต่ถนนเป็นลาดยางดีต่อสุขภาพเท้า และบรรยากาศร่มรื่นมากๆ ที่สำคัญที่สุดคือ ปลอดรถยนต์ 100% ทำให้นอกจากจะปลอดภัยแล้ว ยังปลอดควัน น่าวิ่งสุดๆ แม้ปลายเดือนมีนาจะเข้าหน้าร้อนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกสดชื่นตลอดเส้นทาง
https://www.endomondo.com/workouts/315575242/862998
Green Runner เริ่มที่ตัวเรา ด้วยการใช้แก้วพกพาและภาชนะทดแทนชามโฟม |
กินข้าวต้ม + ลูกชิ้นปิ้ง + ซาลาเปาของงาน เพื่อเป็นพลังงานสำหรับปั่นกลับบ้านแล้ว ก็ได้เวลาไปต่อ โชคดีที่ในพุทธมณฑลมีห้องอาบน้ำให้ด้วย เลยไม่ต้องดองแบบคราวที่แล้ว (และคงเน่าแน่ๆ เพราะนี่มันหน้าร้อน ไม่ใช่หน้าหนาวแบบที่พิษณุโลก) แม้จะทำได้แค่ล้างตัว แต่ก็ดีถมถืดแล้ว
นาบัว-ร้านห้อยขาริมคลองมหาสวัสดิ์-บ้าน
จุดหมายแรกคือ นาบัว ย่านริมคลองมหาสวัสดิ์ ตามที่ search เจอในกระทู้ ท ริ ป ใ ก ล้ ก รุ ง กับจังหวัดนครปฐม เราหาพิกัดมาแบบคร่าวๆ ลองวาด route ดูพบว่าห่างจากพุทธมณฑลแค่ 12 กม. เลยว่าจะแวะไปสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตจั๊กน้อย กะว่ามาใกล้ๆ แล้วค่อยถามชาวบ้านเอาว่ามันอยู่ตรงไหน exactly ระหว่างนี้ก็จินตนาการไปแล้วว่า...ทีนี้ล่ะ ชั้นจะได้พายเรือ ถ่ายรูปกับดอกบัวสวยๆ เกร๋ๆ มีคนเก็บบัวเป็นแบ็คกราวน์ไกลๆ แบบที่น้อง จขกท. เค้าถ่ายมาให้ดู
รูป จขกท. จากกระทู้ด้านบน |
ปรากฏว่าเอาเข้าจริง ชาวบ้านบอกทางมาที่ไหนก็ไม่รู้ หน้าบ้านเขียนไว้ว่า พาชมนาบัว แต่ตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีใครมาเปิด ทางก็ร้างสัญจรเหลือทน ไม่รู้จะหันหน้าพึ่งใคร อะฮือๆๆ เป็นบทเรียนว่าจะเที่ยวไหนก็เตรียมตัวจากบ้านมาให้เต็มที่ดีกว่า เบอร์โทรเค้าก็บอกในกระทู้ไว้เสร็จสรรพแล้ว สุดท้ายจึงได้แค่ยืนมองนาบัวตาละห้อยอยู่บนทางสายเปลี่ยว แบบที่เห็นในรูปข้างล่างแทน
แต่จะว่าไปก็ไม่เสียเที่ยวนัก เพราะการขี่เลียบคลองมหาสวัสดิ์ในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าห่างจากกรุงเทพมาแค่อึดใจเดียว ก็มีวิถีชีวิตริมคลองแบบชนบทให้เราได้ดูแล้ว ถนนเลียบคลองบางช่วง เช่นช่วงหลัง ม. มหิดล ออกไปทางนครปฐม ร่มรื่นน่าปั่นมาก บ้านสองฝั่งคลองก็สวยน่ารัก มีศาลาริมน้ำรับลมเย็นๆ จากคลอง น่าอิจฉาสุดๆ
ไฮไลท์อีกอย่างของเส้นทางนี้คือ ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูริมคลอง ที่เราบังเอิญเจอระหว่างทางประมาณ กม.34 ชื่อก๋วยเตี๋ยวหมู แต่ขายหลายอย่าง รสชาติอาหารอยู่ในระดับพอแหล่กล่าย แต่บรรยากาศสุดยอดดดดด (ใส่ ด.เด็กให้หมดฟ้าเลย) ปั่นจักรยานฝ่าแดดมาร้อนๆ เจอเพิงขายก๋วยเตี๋ยวแบบนั่งกับพื้นเสื่อน้ำมัน ลมแม่น้ำ(จริงๆคือคลอง)พัดตึง ยิ่งถ้าโชคดีได้จับจองที่ริมเพิง ซึ่งสามารถห้อยขาและชมบรรยากาศสองฝั่งคลองได้อย่างเต็มตาด้วยแล้ว...โอ้ว...สวรรค์ชัดๆ
แต่อย่าลืมนะคะ อยากได้ความฟินต้องปั่นไป ถ้าขับรถไปกินก็คงงั้นๆ ^ ^
สรุปแล้วขากลับวันนั้น รวมวนหานาบัว รวมหลงทาง ปาเข้าไปเกือบ 55 กม. แล็คต่งแล็กติกสลายเกลี้ยง ความร้อนทำให้เกือบถอดใจขนจักรยานขึ้นแท็กซี่หลายเที่ยว แต่อาศัยพักดื่มน้ำบ่อยๆ ก็พอรวบรวมความฮึดกลับมาปั่นต่อได้... และแล้วห้องสตูดิโอน้อยๆ ของเรา ก็ถูกบวกคะแนนท่ายากให้กลายเป็น รีสอร์ทเคปพันวาไปเรียบร้อย ^ ^
ว่าแต่...งานหน้า "ปั่นไปวิ่ง" ที่ไหนดีน้า ^____^
#IdoThisWhileStanding
อยากไปทริปแบนี้มั่งจังครับ...แต่ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าปั่นไป (ซ้อม) วิ่ง บ่อยเหมือนกันครับ เพราะสนามซ้อมวิ่งอยู่ใกล้บ้าน วันไหนอยากปั่นไกลๆ ก็อ้อมไปนู่นนี่ก่อน....ประหยัดค่าน้ำมันรถดีเหมือนกัน ตอนกลับมืดๆ ก็มีไฟส่องสว่าง ของผมไฟกระพริบท้าย 100 เดียว (แต่สว่างดี) ไฟหน้า ใช้ไฟฉายหลอด LED มาติดเอา ใหญ่ดี (ผมไม่อาย เพราะประหยัด และปลอดภัย ^^)
ReplyDeleteอิจฉาคนต่างจังหวัดก็ตรงนี้ ปั่นไปนู่นมานี่ได้แบบไม่ต้องกลัวรถสอยไปกิน
Deleteเรื่องเอาไฟฉายติดรถ คลาสสิกดีออกค่ะ น่าอวดไม่น่าอายเลย จริงๆนะ ^ ^V