Friday, July 15, 2016

มาราธอนแรก: พัทยามาราธอน 2015 | 5 comments:

หลังจากวิ่งมาเกือบ 5 ปี ในที่สุดมาราธอนแรกของเราก็มาถึงเสียที ถามว่าพร้อมแล้วเหรอที่ตัดสินใจลงมาราธอน...ก็ไม่พร้อมหรอก สถิติที่ตั้งใจไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ว่าต้องทำให้ได้ก่อน ถึงจะวิ่งมาราธอน ตามที่โค้ชเคยแนะนำไว้ ก็ยังทำไม่ได้ซักกะอัน (มินิฯต่ำกว่า 50 นาที/ฮาล์ฟฯต่ำกว่า 1:50 ชม.) แค่รู้สึกว่าเราสะสมไมล์ ความรู้ เทคนิค มาเพียงพอแล้ว และที่สำคัญ หลังจากปลอดอาการบาดเจ็บมานาน จึงคิดเอาเองว่าน่าจะซ้อมมาราธอน 16 สัปดาห์ตลอดรอดฝั่งโดยไม่เจ็บได้แล้ว

ที่เลือกมาราธอนแรกที่พัทยาไม่ใช่เพราะอยากได้สนามโหดๆ แต่เพราะช่วงเวลานี้ของปีเป็นช่วงที่เรามั่นใจว่าจะไม่ติดธุระการงานอะไรกะทันหันแน่นอน ซึ่งนี่ทำให้เราเป็นแฟนพันธุ์แท้พัทยามาราธอนคนนึงก็ว่าได้ ตั้งแต่วิ่งมา ก็ลงพัทยามาราธอนทุกปี (2 มินิ 2 ฮาล์ฟ) ความดีงามอีกหลายอย่างของงานนี้ก็เช่น ปิดถนนดีมาก ที่พักใกล้จุดสตาร์ทหาง่าย ไม่แพง ไม่ไกลกรุงเทพ ของกินแถวที่พักอุดมสมบูรณ์ วิ่งเสร็จแล้วมีที่เที่ยวต่อ ไม่ได้มาวิ่งเฉยๆ แล้วกลับบ้าน

การฝึกซ้อม


แต่ปรากฏว่าซ้อมได้จริงจังแค่ 6 สัปดาห์แล้วก็เริ่มเจ็บออดๆ แอดๆ ที่จุดเดิมคือที่เอ็นใต้ตาตุ่มขวา แล้วพอไปวิ่งเทรลขึ้นดอยปุย ก็เจ็บจุดใหม่คือเอ็นร้อยหวายข้างขวา (เรื่องการบาดเจ็บนี้เดี่๋ยวจะเล่าให้ฟังในคราวถัดไป ยังไม่อยากดราม่า ^ ^) จึงทำให้ต้องซ้อมแบบ "หายก็วิ่ง เจ็บก็พัก" อยู่อย่างนั้นอีก 10 สัปดาห์ จนถึงวันแข่ง




ฝึกซ้อม 16 สัปดาห์ ระยะทางรวม 303.84 กม. เฉลี่ยสัปดาห์ละ 19 กม. ^ ^"
วิ่งยาวเกิน 3 ชั่วโมง 5 ครั้ง คือ

พูดก็พูดเถอะ พอเขียนบันทึกการฝึกซ้อมทีไร ก็จะต้องเลิกไปดื้อๆเพราะอาการบาดเจ็บทุกที 555+ แต่ก็หาได้แคร์ ตั้งใจว่าถ้าซ้อมมาราธอนคราวหน้าก็จะเขียนอีก อยากรู้เหมือนกันว่าต้องเป็นมาราธอนครั้งที่เท่าไหร่นะ เราถึงจะซ้อมได้ครบตารางเสียที ^ ^

เครื่องแต่งกาย


เสื้อ/ชั้นใน/หมวก สำหรับเราถือว่าไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ อะไรก็ได้ที่ระบายอากาศได้ดี ขอแค่ให้เลือกไว้แต่เนิ่นๆ แล้วใส่วิ่งยาวดูสักครั้งเป็นอย่างต่ำ เราใช้ทุกอย่างที่มีอยู่แล้ว เรียกง่ายๆว่าชุดเก่งนั่นแหละ ^ ^ ไม่ได้ซื้อใหม่แต่อย่างใด ส่วนกางเกง เรามีกางเกงตัวเก่ง 3 ตัว ขาสั้น/คลุมเข่า/ขายาวรัดกล้ามเนื้อ เลือกใช้ตัวที่เป็นขายาวรัดกล้ามเนื้อในการวิ่งมาราธอนด้วยเหตุผล 2 ประการคือ กันต้นขาสีกัน และ ช่วยซับเหงื่อที่จะไหลลงรองเท้า ส่วนคุณสมบัติด้านรัดกล้ามเนื้อ จริงๆก็ไม่รู้สึกแตกต่างอะไร

THE MUST!! ไม่ว่าจะสวมอะไรก็ตาม อย่าลืมทาวาสลีนที่ต้นแขนด้านใน ส่วนที่ต้องสัมผัสกับแขนเสื้อ ขอบชั้นในทั้งท่อนบนและท่อนล่าง ขอบกางเกงตรงเอว ถ้าเป็นผู้ชายก็แถมตรงหัวนมอีกอย่าง เคยวิ่งยาวแล้วลืมทาวาสลีน เนื้อต้นแขนอ่อนๆโดนแขนเสื้อเสียดสี แสบเลือดซิบทุกครั้งที่แกว่งแขน ถึงขนาดวิ่งไม่จบเลยทีเดียว

สำหรับรองเท้าเราเลือก Asics รุ่น Tarther Japan ตามความชอบส่วนตัว เราใส่รุ่นนี้ตลอดในการแข่งระยะมินิฯและฮาล์ฟฯ ไม่รู้หรอกว่าใส่วิ่งมาราธอนจะเวิร์คมั้ย เพราะก่อนหน้านี้ถ้าวิ่งเกิน 23 กม. ฝ่าเท้าจะเริ่มระบม แต่จะให้ใส่รุ่นอื่นฟีลลิ่งมันก็ไม่ใช่อะกิ๊บ!! เลยตัดสินใจซื้อคู่ใหม่ ขนาดใหญ่กว่าปกติ 0.5 cm (หลังวิ่งมาราธอน เท้าคุณจะใหญ่กว่าเดิม) แล้วใช้ตั้งแต่เริ่มซ้อมวันแรก

แผนการวิ่ง


ประเมินตัวเองตั้งแต่แรกแล้วว่า ด้วยความฟิตและสถิติในตอนนี้ เวลามาราธอนดีที่สุดที่ทำได้คงไม่ต่ำกว่า 4:30 ชม. เป็นแน่ บวกกับอยากใช้ตัวเองเป็นหนูทดลอง สำหรับเทคนิคการวิ่งมาราธอนแบบหนึ่งที่เคยได้ยินมานานแล้ว ดังนั้นเราจึงเลือกใช้แผนการวิ่งที่เรียกว่า วิ่งสด ที่เคยเล่าไว้ในวิ่งทันโลกฉบับเดือนกรกฎา 2558 นั่นเอง

ทดสอบแผนวิ่งสดระยะ 30 กม.

  • วิ่ง 2 กม. สลับเดิน 1 นาที ทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องรอให้ขาล้าเสียก่อน 
  • เนื่องจากซ้อมไม่ดี เลยตั้งเป้าหมายไม่เกิน 5:00 ชม. นั่นคือต้องควบคุมให้เพซเฉลี่ยไม่เกิน 7 
  • เคยทดสอบกลยุทธ์วิ่งสดในระยะ 30 กม. แล้ว พบว่าได้เพซเฉลี่ย 6:28 ดังนั้นจึงเหลือเวลาให้จิบน้ำสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบในทุกสเตชั่นน้ำ ใช้แก้วน้ำใบเดียวเพื่อลดขยะได้
  • เนื่องจากเอ็นใต้ตาตุ่มและเอ็นร้อยหวายยังไม่หายดี เพราะไม่เคยได้หยุดซ้อมนานๆ เลย  (หมอบอกว่าจะหายสนิทต้องหยุดวิ่ง 3 เดือน) ดังนั้นจึงตั้งใจจะวิ่งยกแขนสูง ก้าวสั้นอย่างยิ่ง ใช้ลำตัวช่วยวิ่ง ตั้งแต่สตาร์ท เพื่อลดภาระของเอ็นทั้งสอง...ทำยังไงก็ได้ไม่ให้เจ็บกลางทาง


การเตรียมตัวก่อนแข่ง


3-4 วันก่อนแข่งดื่มน้ำเยอะขึ้น มีน้ำขวด 1.5 ลิตรติดตัว คิดได้เมื่อไหร่ก็จิบทั้งวัน จิบทีละนิดเพื่อให้เซลร่างกายรับได้หมด ไม่ล้นทิ้ง เซลที่อิ่มน้ำจะช่วยไม่ให้ร่างกายขาดน้ำเวลาแข่ง ยิ่งต้องวิ่งมาราธอนกลางแดดอย่างงานพัทยา ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ สิ่งที่ต้องชมเชยไว้ ณ ที่นี้อย่างหนึ่งก็คือ ที่จุดปล่อยตัวมีโต๊ะให้น้ำเห็นได้ชัดเจน เราจึงได้ดื่มน้ำก่อนแข่งเป็นครั้งสุดท้าย สดชื่นมากๆ

ซ้อมเบาๆ ครั้งสุดท้ายตอนเย็นวันพฤหัส พบว่าต้องการเวลา recovery ตั้ง 22 ชั่วโมง ดังนั้นเพื่อให้ชัวร์ เราจึงไม่ซ้อมอะไรอีก เกรงว่าร่างกายจะฟื้นไม่ทัน เพราะร่างกายที่ฝึกมายาวนาน มีความอ่อนล้าสะสม จะฟื้นตัวช้าแม้วิ่งเพียงเบาๆ เช้าวันแข่งเมื่อเช็คดูจึงพบว่าฟื้นสภาพครบ พร้อมแข่งแล้ว 



วันก่อนแข่งกินอาหารปริมาณปกติ (ที่เห็นในรูปนี่คือปกติแล้ว ^ ^") เพียงแต่ทุกมื้อเน้นแป้ง เช่น พาสต้า ผัดไทย ขนมปัง หลังมื้อเย็นประมาณ 2 ทุ่มหนังตาก็หย่อน พอไม่กดดันก็หลับง่าย คืนนั้นได้นอนเต็มอิ่ม 6 ชั่วโมง ตื่นมากินขนมปังก่อนปล่อยตัวประมาณ 1 ชั่วโมง (อันนี้ต้องลองด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนซ้อมวิ่งยาว ว่ากินก่อนวิ่งนานแค่ไหนจึงจะเหมาะ ไม่จุกขณะวิ่ง ไม่หิวก่อนครบ 10 กม.) 

เตรียม power gel ไปกินระหว่างทาง 3 ซอง ที่ 10/20/30 กม. ยี่ห้อนี้เคยลองกินแล้วตอนวิ่งเทรลเขาประทับช้าง บางคนไม่ชอบเพราะบอกว่าเหม็นหืนน้ำมันมะพร้าว แต่เราโอเค ข้อดีของมันคือ กินง่ายไม่ติดคอ แต่ยังไงก็ต้องกินน้ำตามไม่งั้นจะรู้สึกหวานติดลิ้น

วันแข่ง

กม. 0-21

ออกตัวสบายๆ ตั้งสมาธิที่การคุมรอบขาและความเหนื่อยไม่ให้เกินโซน 4 กลางๆ ...ถามว่าทำไมต้องโซน 4 ?...ขอตอบว่ามาจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า โซน 4 เป็นความเหนื่อยที่ยังไม่ถึงกับหอบ หรือเหนื่อยจนแอบคิดถอดใจ สามารถวิ่งต่อเนื่องยาวๆได้ เวลาวิ่งฮาล์ฟฯ เราก็จะวิ่งในโซน 4 กลาง-ปลาย พอมาเป็นมาราธอนก็น่าจะลดเหลือแค่โซน 4 ต้น-กลาง อันนี้มโนเองล้วนๆ แต่คิดว่าโอแหละ

ฮาล์ฟมาราธอนงานล่าสุด (ตั้งแต่ธันวาปีที่แล้วโน้น)
https://www.endomondo.com/users/862998/workouts/447471313

สิ่งที่ยากสำหรับมาราธอนแบบวิ่งสลับเดินมีเพียงอย่างเดียว...คุณต้องไม่แคร์สื่อ ^ ^ นิสัยแพ้ไม่ได้ กลัวเสียหน้า แอบแข่งกับชาวบ้านอยู่เงียบๆ จนต้องลงคอร์ทแบบไม่ตั้งใจอยู่เสมอ... ทั้งหมดนี้ต้องโยนทิ้งไปซะ!! คุณต้องพักเดินตามแผนแม้จะยังไม่อยากเดินหรือกำลังแอบแข่งกับโจทก์เก่าอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่า พอเดินแล้วจะวิ่งไม่ออก อันนี้ไม่จริงค่ะ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับความตั้งใจล้วนๆ

ผ่าน 21 กม. แรกมาแบบสบายๆ ด้วยเวลา 2:17 ชม. เพซสำหรับช่วงวิ่ง 2 กม.แต่ละเที่ยวคือ 6:26//6:00//6:10//6:18//6:11//6:16//6:29//6:30//6:30//6:43



กม. 21-37


จากนั้นความล้าเริ่มมาแผ่วๆ อาศัยว่าก้าวขาสั้นๆ ใช้ตัววิ่ง (ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าเป็นท่าที่ไม่ค่อยใช้ต้นขามากนักแล้วกัน) ทำให้ยังประคองไปได้ด้วยเพซที่ช้าลงนิดหน่อย (6:55//6:31//6:55//6:59//7:08) แต่พอเลี้ยวซ้ายจากสุขุมวิทเข้าซอยนาจอมเทียน 3 ที่เป็นถนนเป็นคอนกรีตเท่านั้นแหละ ความระบมฝ่าเท้าก็เข้ามาซ้ำเติม ตอนนี้เพซในช่วงวิ่งตกลงเหลือ 7:25 แล้ว ได้เสียงรองเท้าลากพื้นเพราะยกขาไม่ขึ้นดังแชบๆๆ คลอเป็นเพื่อนไปตลอดทาง...หมดงานนี้พื้นรองเท้าคงสึกเหี้ยนเตียน ได้เปลี่ยนคู่ใหม่แน่นอน...ใจนึกด้วยความเสียดาย

สุดซอยที่ กม.32 ก็เลี้ยวขวาเลียบหาดจอมเทียน สเน่ห์ของพัทยามาราธอนอยู่ตรงนี้ ในยามที่นักวิ่งมาราธอนแรกก้าวเข้าสู่เขตแดนที่ไม่เคยรู้จัก ก็จะมีลมทะเลคอยพัดปลอบโยน ถึงจะไม่ช่วยทำให้ขาหายล้าและฝ่าเท้าหายระบม แต่อย่างน้อยก็บรรเทาความร้อนอบอ้าว และเปรียบเสมือนการลูบหลังตบไหล่จากทะเลให้เราฮึดสู้อีกครั้ง...อีกแค่มินิฯ เดียวเองแกรรร๊ 



จังหวะเลี้ยวขวาเข้าถนนเลียบหาดจอมเทียน


ตลอดเส้นทางเลียบทะเลประมาณ 5 กม. เราจึงวิ่งอย่างมีความสุขมาก ร่างน่ะทรมาน เพซก็ตกลงมาอีกอย่างช่วยไม่ได้ (7:34//7:36) แต่ใจมันฮึกเหิม ชอบตัวเองที่สับขาไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมให้ผิดแผน แม้จะเห็นนักวิ่งหลายคนเริ่มยางแตก เดินชมทะเลกันแล้ว ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ากำลังจะผ่านปีศาจกิโลเมตรที่ 35 แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไร เพราะใจและสายตาล่วงหน้าไปจับอยู่ที่สุดถนนลิบๆ โน้นมากกว่า...ด่านต่อไปจะเจออะไรนะ



ต่อจากนั้น


สุดทางเลียบหาด ถนนก็หักขวาฉับพลัน มองเห็นสี่แยกตัดกับ ถ.ทัพพระยาที่เริ่มวุ่นวายจากการจราจรอยู่ข้างหน้า เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ 8 โมงแล้ว สองข้างทางมีเพื่อนร่วมชะตากรรมหนาตาขึ้น เดินกันชิวๆ แวะกินน้ำกินหนมในเซเว่นแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไร เพราะเป็นแนวหลังของระยะฮาล์ฟแล้ว อิจฉาวุ้ย!!...อ้าว...แกก็เดินบ้างสิ ใครเค้าบังคับให้แกทู่ซี้วิ่งล่ะ ขาก็เมื่อยจนแทบก้าวไม่ออก ฝ่าเท้าก็ระบม แล้วยังแดดที่เปลี่ยนทิศมาแยงลูกกะตาเต็มๆนั่นอีก...นั่นสินะ...กุทำอะไรอยู่วะเนี้ย

เสียงในสมองคุยกันเองแบบในหนังเรื่องรัก 7 ปีดี 7 หน ไม่มีผิด แต่ก็ยังเคาะด้วย cadence 90 อัพและ stride length ระดับเพนกวินไปเรื่อยๆ แบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ จนเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกนั่นแหละ เสียง SHIIIIITTTT ก็ดังกลบเสียงสนทนาเสียสิ้น ...เนินค่ะ!! เนินยาวสุดสายตาขึ้นเขาพระตำหนักที่คุ้นเคยกันดีตอนวิ่งฮาล์ฟฯปีก่อนๆ ซึ่งในตอนนั้นมันก็แค่ทำให้กัดฟันเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่เนินเดียวกันนี้เมื่อมาตั้งอยู่ในกม.ที่ 38 มันก็เป็นคนละ story กันเลย ...และที่กลางเนินนั้นเอง เลยป้าย "UP SLOPE" ในตำนานมานิดนึง นิ้วนางเท้าซ้ายก็มีความตะคริวมาเยือน ความอดทนของเราสิ้นสุดลง...ลาก่อย...เราหยุดวิ่งก่อนถึง 2 กม.จนได้ split นั้นเลยทำเพซได้แย่ที่สุดนั่นคือ 8:23

ที่เศร้ากว่านั้นคือ กลุ่ม pacer 5 ชม. แซงไปแล้ว...เฮ้ยยยย เราคำนวณเวลาผิดตรงไหนแว้ ตอนนี้เพซเฉลี่ยยังไม่ถึง 7 เลยนี่นา


จำไม่ได้ว่าเดินไปนานแค่ไหน น่าจะสัก 30 วินาที ความตะคริวจางไปความฮึดก็กลับมา...หมดเนินนี้ เลี้ยวซ้ายข้างหน้าขึ้นเนินสั้นๆ สุดโหดอีกครั้งเดียวก็หมดเวรหมดกรรมแล้ว... คิดได้แบบนั้นก็กลับมาเคาะที่โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติอีกครั้ง ชีวิตเริ่มดีขึ้นเพราะจากนี้ก็เป็นทางลงตลอดๆ เลี้ยวขวาเข้า walking street เห็น pacer 5 ชม.อยู่ข้างหน้าไม่ไกล แต่ไล่ไม่ไหวจริงๆ ลำพังจะเคลื่อนร่างไปแต่ละก้าวก็ยากแล้ว 

แล้วคำตอบเรื่อง pacer ก็ถูกไขกระจ่างเมื่อหลุดจาก walking street แล้วเหลือบดูนาฬิกา (ตลอดการวิ่งเราดูนาฬิกาน้อยมาก นานๆจะดูระยะสักที ส่วนความเร็วไม่ดูเลย ใช้สังเกตความเหนื่อยเป็นหลัก) อ้าว...42 กม.แล้วนี่หว่า ยังเหลือระยะอีกเป็นกิโล แถมกุซะแร้วพัทยาเอ๋ย...ใครอ่านถึงตรงนี้แล้วยังไม่รู้ธรรมเนียม ขออธิบายว่า pacer จะยึดเวลาเป็นหลักค่ะ นั่นคือถ้าบอกไว้ว่า 5 ชม. ก็ต้องวิ่งเข้าเส้นชัยก่อน 5 ชม. (จะให้ดีควรใกล้เคียงที่สุด) ไม่ว่าระยะทางจะแถมหรือหดก็ตาม ดังนั้นถ้าเราคำนวณมาแล้ว โดยอิงจากระยะ 42.195 ว่าต้องวิ่งเฉลี่ย 7 นาที/กม. เพซเซอร์ก็อาจวิ่งเร็วกว่านั้นก็ได้เพราะเขาจะรู้ล่วงหน้าว่าระยะทางจริงแถมมาเท่าไหร่

รู้แบบนั้นก็สบายใจขึ้นมานิดนึง แต่ยังไงก็อยากเข้าเส้นชัยก่อน 5 ชม.อยู่ดี ดังนั้นระยะกิโลกว่าๆ เลียบชายหาดช่วงสุดท้ายของเส้นทางเราจึงขุดพลังทั้งหมดที่มีอยู่ออกมาใช้ ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง สถานีน้ำจุดสุดท้ายก็ไม่แวะมันแล้ว แต่อนิจจา มันไม่ใช่หนังเนาะ มันคือชีวิตจริง เร็วที่สุดของเราจึงได้แค่เพซ 6:34 เท่านั้น ^ ^" มองเห็นเพซเซอร์วิ่งเข้าเส้นชัยไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ...รอเค้าด้วยยยย



เราเข้าเส้นชัยตามมาประมาณ 50 เมตร ด้วยเวลาบนข้อมือ 5:00:01.3 ชม. ....กุจะบร้าาาา ได้แต่แอบลุ้นว่าเวลาในชิปน่าจะน้อยกว่านี้นิดนึง ได้โปรดเถอะนะชิปจ๋า และแล้วเลขที่ออกก็คือ...

วะ ฮ่าๆๆๆๆ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ระยะทาง 43.25 กม. เพซเฉลี่ย 6:56 นาที/กม.
ถ้าตัดแค่ 42.195 กม. จะได้สถิติ 4:53:20 ชม. (โหลดเข้า endo มันจะมีฟีเจอร์ตัด Best Distances ให้)
อันดับรวม 364/869 
อันดับตามเพศ 42/99 
อันดับตามประเภท 12/28

ถามว่า ร้องไห้มั้ย แบบปลื้มใจมาราธอนแรกไรงี้...ไม่มีนะ คงเพราะไม่ได้ซ้อมหนักทุ่มทั้งชีวิตอะไร เพราะเจ็บออดๆแอดๆ อยู่เป็นระยะ แต่ก็ทำอย่างเต็มที่ที่สุดในสนามแข่ง มองย้อนกลับไปก็ไม่มีจุดไหนที่ต้องแก้ไขแล้ว ชูเสื้อฟินิชเชอร์ตัวแรกในชีวิต ถ่ายรูปอย่างภาคภูมิใจไม่มีอะไรติดค้าง


บทเรียนจากการแข่งขัน

  • พกเจลมาน้อยไป ทั้งๆ ที่เพิ่งกินไปตอน กม. 30 พอกม. 35 ก็หิวอีกแล้ว ยังดีที่สถานีน้ำมีลูกเกดใส่ชามเตรียมไว้ให้ เราเทใส่มือเต็มกำ พอบรรเทาหิวไปได้ แต่พอกินไปแล้วถึงนึกได้ว่า...มันผ่านขี้มือคนอื่นมาแค่ไหนแล้ววะ จะมีซักกี่คนที่เทออกมากิน ส่วนมากก็ควักจากชามทั้งนั้นแหละ...น้ำตาจิไหล  คราวหน้าต้องพกเพิ่มเป็น 4 ซอง   
  • สถานีน้ำตั้งไม่ตรงกับจังหวะเดิน 1 นาที ดังนั้นจึงต้องหยุดบ่อย ทั้งหยุดเดินและหยุดกินน้ำ คราวหน้าต้องวางแผนใหม่คือ ใช้จุดให้น้ำเป็นหลักโดยไม่ต้องสนใจระยะ (พัทยา 2016 ประกาศแล้วว่าวางจุดให้น้ำทุก 2 กม.) วิ่งไปเรื่อยๆ พอถึงโต๊ะน้ำก็กด lap ให้นาฬิกานับถอยหลัง 1 นาที ทั้งกินน้ำและเดินสลับ รวมอยู่ใน 1 นาทีนี้เลย
  • กลยุทธ์วิ่งสลับเดิน ทำให้เราทำเวลาไม่เกิน 5 ชม. อย่างที่บอกไว้จริงๆ ถามว่าถ้าวิ่งตลอดไม่หยุดเลย สถิติอาจดีกว่านี้ก็ได้นะ?...ก็จริง...แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะล้ากว่านี้ เจ็บกว่านี้จนวิ่งไม่ออกหรือเปล่า...ดังนั้น เมื่อเลือกแล้วก็ไม่ต้องลังเล ทำสิ่งที่เลือกให้ดีที่สุดก็แค่นั้น คราวหน้าเราก็จะใช้กลยุทธ์นี้ต่อไป 







5 comments:

  1. พัทยามาราธอน 2015 แสดงว่าเป็นของปีที่แล้วเหรอครับ

    ว่าแต่พอได้สักครั้งแล้ว จะมีครั้งต่อไปหรือเปล่า ส่วนผมเองยังไม่กล้าข้ามจากhalf เลยครับ
    กลัวซ้อมไม่ถึงแล้วจะหมดสภาพหลังแข่ง

    ReplyDelete
  2. ใช่ค่ะ วิ่งจบไปปีนึงแล้วถึงเขียน ^ ^"

    มีครั้งต่อไปแน่นอนค่ะ
    ตั้งใจว่าจะวิ่งมาราธอนปีละ 1-2 ครั้ง ไม่เกินนี้
    เพราะแต่ละระยะ มีความสนุกท้าทายแตกต่างกัน อยากลงให้ครบ

    ดีแล้วค่ะ จะวิ่งให้สนุกควรซ้อมให้ถึง
    ไม่งั้นกิโลท้ายๆต้องเดิน
    ไม่สนุกเลยค่ะ เคยมาแล้ว 555+
    ส่วนเรื่องหมดสภาพหลังแข่่ง เอาเข้าจริงถึงซ้อมมาดีก็หมดสภาพได้
    ขึ้นกับว่าเราบีบคั้นตัวเองแค่ไหน
    วิ่งใหม่ๆ เอาแค่เข้าเส้นชัยสวยๆหล่อๆ ได้ภาพที่น่าประทับใจก็พอค่ะ

    ReplyDelete
  3. เพิ่งเข้ามาอ่าน .. ช่วงนี้ไม่ได้วิ่งแบบจริงจังบ้าคลั่งแบบเดิมแล้ว
    ตอนนี้เปลี่ยนเป็นวิ่งเพื่อใุขภาพ วันละ 4-6 กม.เท่านั้น
    ยินดีกับคุณป้อมด้วยครับ ที่ยังมีความสม่ำเสมอในการเขียน Blog ^^
    ไว้มีโอกาสคงได้วิ่งมาราธอนหลักสูตรนี้ดูครับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ยังวิ่งอยู่ก็ถือว่าประเสริฐแล้วค่ะ
      ป้อมก็วิ่งน้อยลงมากเหมือนกัน มีอย่างอื่นที่อยากทำมากกว่า
      สูตรวิ่งสลับเดิน ควรลองซักครั้งในชีวิตค่ะ สนุกดี ^ ^

      Delete
  4. หลังกิโลที่ 30 ไปแล้วเป็นอะไรที่ท้อมากๆ T^T

    ReplyDelete

*************************************************************************************
ผักกาดๆ ถ้าข้อความไม่ขึ้น นั่นแปลว่า blog คิดว่าข้อความของท่านเป็น spam ไม่ต้องกังวลค่ะ comment เหล่านี้จะตกไปอยู่ที่กล่อง spam รอให้เจ้าของ blog มาตรวจสอบ (ก็คือเรานั่นเอง ^ ^)
*************************************************************************************

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...