ถ้านับจากวันแรกที่เริ่มเก็บสะสมไมล์ก็เป็นเวลาประมาณ 2 ปี 6 เดือน จากรูปจะเห็นว่าตอนนี้เราวิ่งมา 10% ของระยะทางรอบโลกแล้ว คิดแล้วก็ตื่นเต้นว่าเมื่อวิ่งครบ 25 ปี ฉันจะวิ่งได้ระยะรอบโลกพอดีหรือเปล่าว้า ...คงเป็นการฉลองแซยิดที่เก๋ไก๋มากทีเดียว !!
สรุประยะทางวิ่งแต่ละเดือนจาก 3,000 กม. ถึง 4,000 กม. ได้ดังกราฟด้านล่าง และที่จะเล่าต่อไปคือเหตุการณ์เบื้องหลังกราฟเหล่านี้
ตั้งแต่กลางธันวา 2555 เราเริ่มซ้อมตามตารางของโค้ชเพื่อลงแข่งฮาล์ฟมาราธอนที่จอมบึงตอนปลายเดือนมกรา เราตั้ง group ใน FB กับน้องอีก 2 คนที่จะวิ่งงานนี้ เพื่อรายงานผลการซ้อมให้กันและกันดู การได้เห็นว่าคนอื่นเค้าก็กำลังมุ่งมั่นฝึกซ้อมเหมือนกันนะ ทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว และรู้สึกว่าเป้าหมายมีคุณค่ามากขึ้น...ก็เราจะเข้าเส้นชัยที่จอมบึงอย่างไม่มีความทรงจำอะไรเลยได้อย่างไร ในขณะที่เพื่อนร่วมทางอีก 2 คนให้ความหมายกับมันด้วยความพยายามที่ยิ่งยวดถึงเพียงนี้ ดังนั้นเราจึงซ้อมอย่างสม่ำเสมอตามที่เวลาจะอำนวย แม้ผลการซ้อมจะไม่สามารถเรียกได้ว่าน่าพอใจ เพราะออกแนวเอื้ออาทรเสียส่วนใหญ่ แต่เมื่อตั้งใจจะ "วิ่งให้สนุก" แทนที่จะเครียดหรือกดดัน (ตามคำแนะนำของน้องแจง) เมื่อวันแข่งมาถึง เราก็ทำเวลา 21.1 กม. ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงได้สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ในที่สุด ^____^ http://www.endomondo.com/workouts/152749382/862998
เดือนกุมภาพันธ์เรามีโอกาสได้ทดลองใช้รองเท้าสไตล์ minimalist อย่าง Brooks PureCadence2 เพื่อเขียนรีวิวรองเท้าให้เพจเรื่องวิ่งเรื่องกล้วย จึงทำให้พบว่าตัวเองยังไม่สามารถวิ่งลงหน้าเท้าได้อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติ ประกอบกับในช่วงเดือนมีนาคมที่เราพยายามวิ่งยาว (ระดับแค่ 15-20 กม.) ให้บ่อยขึ้นเพื่อทดสอบดูว่าตัวเองแข็งแรงพอจะซ้อมมาราธอนได้หรือยัง แล้วพบว่ายังคอยจะเจ็บข้อเท้าแบบกรุ่นๆอยู่เนืองๆ เราจึงเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนท่าวิ่งอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่คิดว่าพอใจแล้วกับท่าวิ่ง Version 1
เดือนมีนาคมเราได้มีโอกาสไปทดสอบ VO2max ผลการทดสอบชี้ให้เห็นว่าเรามีโซนเผาผลาญไขมันที่แคบเกินไป ซึ่งไม่เป็นผลดีถ้าคิดจะวิ่งมาราธอน พี่จุ๋งแนะนำว่าต้องหัดวิ่งช้าแบบช้าจริงๆ เพื่อให้เหนื่อยน้อยๆในระดับ fat burn ด้วย คำแนะนำนี้แม่นเหมือนตาเห็น เพราะที่ผ่านมา การวิ่ง "สบายๆ" ของเรามันเร็วเกินไปจนเกือบจะเป็น tempo อยู่แล้ว (ซึ่งการทำเช่นนี้ ในอีกแง่หนึ่งก็มีผลดี เพราะช่วยยกระดับ Anaerobic Threshold ให้สูงขึ้น)
ดูคำอธิบายของกราฟได้จากโพสต์ ประสบการณ์เมื่อข้าพเจ้าไปทดสอบ VO2max (2) |
สำหรับเรา การวิ่งให้ช้าในระดับที่หัวใจเต้น 130 bpm นี่มันไม่ง่ายเลย เนื่องจากธรรมชาติที่สับเท้าเร็ว ทำให้หัวใจพลอยเต้นเร็วไปด้วย solution สำหรับปัญหานี้จึงได้แก่การหากีฬาแอโรบิคชนิดอื่นที่เหนื่อยน้อยกว่าวิ่ง เราจึงเริ่มต้นปั่นจักรยานเพื่อเป็น cross training และเพื่อออกกำลังในโซน fat burn เมื่อชีวิตการวิ่งมาถึงกม. ที่ 3,000 ปลายๆ ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง
1,000 กม.รอบที่ 4 ของเรา จะว่าไป ก็คือการกลับไปตรวจสอบตัวเองว่าแท้จริงแล้วเราวิ่งเพื่ออะไร หลังจากที่วิ่งอย่าง"ไม่คิดชีวิต"มาเกือบ 3 ปี คำตอบ ณ วันนี้คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการวิ่งให้อะไรกันแน่ แต่ที่มั่นใจก็คือ วันนี้เราจะวิ่งเพื่อที่จะได้วิ่งไปอีกนานๆ...ไม่ใช่แค่ 4-5 ปี...แต่วิ่งอย่างยั่งยืนไปตลอดชีวิต
เพื่อการนี้ เราจะต้องหาความสนุกและแรงบันดาลใจด้วยการแข่งขันกับตัวเองเป็นระยะ ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างรากฐานที่ดีเพื่อที่จะวิ่งอย่างมีความสุขด้วย และในเมื่อความสุขใดๆในการวิ่งจะเสมอด้วยการวิ่งโดยปราศจากความบาดเจ็บเป็นไม่มี เราจึงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากๆ เราได้ฉลองครบรอบ 1 ปีที่ปลอดเจ็บในต้นเดือนพค.นี้เอง
หลังจากที่รู้เป้าหมายระยะยาว รู้ทิศทางที่แน่ชัดแล้ว ว่าจะเอายังไงกับการเป็นนักวิ่งประเภท "สมาชิกภาพตลอดชีพ" ในเดือนพฤษภาเราจึงวิ่งน้อยมาก คือไม่ถึง 100 กม. เพราะอยากลาพักร้อนจากตำแหน่งนักวิ่งสักพัก ก่อนจะค่อยๆเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เดือนมิถุนายน เรากลับมาซ้อมความเร็วบ้างเพื่อความสนุกสนานเป็นหลัก และลองลงแข่งที่งานใกล้ๆหอพักโดยตั้งใจวิ่งให้เต็มที่เพื่อทดสอบว่า หลังจากที่ไม่ได้แข่ง 10K เลยเป็นเวลาเกือบ 9 เดือน ตอนนี้ความเร็วถดถอยไปมากแค่ไหน ผลที่ได้น่าพอใจ เรายังทำความเร็วดีกว่า 55 นาทีอยู่ (ในขณะที่ PB คือ 53:20) และในเดือนนี้เองเราได้เริ่มฝึกวิ่งเท้าเปล่าอย่างจริงจัง หลังจากฝึกวิ่งเองตามคำชักชวนของพี่ย้งและเข้า workshop กับโยชิโนะ master แห่งการวิ่งเท้าเปล่าชาวญี่ปุ่น
เหตุผลหลักของการฝึกวิ่งเท้าเปล่าของเราคือ "เพื่อความสนุกสนาน" การได้เรียนรู้ฝึกฝนอะไรใหม่ๆ จะทำให้การวิ่งมีชีวิตชีวาไม่น่าเบื่อ แต่ผลพลอยได้คือกล้ามเนื้อน่องที่แข็งแรงขึ้นและการลงหน้าเท้าอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น เมื่อฝึกเท้าเปล่าได้ระยะหนึ่งเราก็พบว่า บัดนี้เราใส่ PureCadence วิ่งยาวระดับ 20 กม. ได้อย่างไม่รู้สึกเหมือนมีโซ่ล่ามเท้าอีกต่อไป และท่าวิ่งของเราเปลี่ยนมาเป็นแบบ midfoot อย่างธรรมชาติแล้วในที่สุด ^___^
เมื่อเดินทางมาเกือบ 4,000 กม. การวิ่งกลายเป็นความสุขอย่างแท้จริงโดยไม่มีความเครียดแอบแฝง ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการกลัวฝีเท้าตกต่ำ (ไม่กลัวแล้ว เพราะมั่นใจว่าพื้นฐานดี) จากการที่ไม่สามารถซ้อมตามตารางได้อย่างต่อเนื่อง (ไม่เครียดแล้ว เพราะไม่ได้แข่งอยู่ตลอดเวลา อยากแข่งเมื่อไหร่ค่อยมุ่งมั่นอย่างสนุกสนาน) จากอาการบาดเจ็บ (ไม่เจ็บแล้ว มีบทเรียนมากพอแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงระดมสรรพกำลังทุกอย่างเพื่อความปลอดเจ็บตลอดชีวิต) เราวิ่งบ้างตามแต่เวลา โอกาส และอารมณ์ จะอำนวย แถมยังได้ออกไปดูโลกภายนอก (ทั้งที่หมายถึง "โลกอื่นๆนอกเหนือจากโลกแห่งการวิ่ง" และ"โลก" จริงๆ) โดยการปั่นจักรยานทางไกลแบบเน้นกินและเที่ยวด้วย
สัญญานแบบนี้ แปลว่าเราพร้อมจะสู้กับมาราธอนอีกครั้งแล้วสินะ ...อยากรู้จังว่าโพสต์ "5,000 กิโลเมตรแล้วจ้า" จะมีเสื้อ finisher มาอวดเพื่อนๆ มั้ยน้อ ^_____^
เมื่อเดินทางมาเกือบ 4,000 กม. การวิ่งกลายเป็นความสุขอย่างแท้จริงโดยไม่มีความเครียดแอบแฝง ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการกลัวฝีเท้าตกต่ำ (ไม่กลัวแล้ว เพราะมั่นใจว่าพื้นฐานดี) จากการที่ไม่สามารถซ้อมตามตารางได้อย่างต่อเนื่อง (ไม่เครียดแล้ว เพราะไม่ได้แข่งอยู่ตลอดเวลา อยากแข่งเมื่อไหร่ค่อยมุ่งมั่นอย่างสนุกสนาน) จากอาการบาดเจ็บ (ไม่เจ็บแล้ว มีบทเรียนมากพอแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงระดมสรรพกำลังทุกอย่างเพื่อความปลอดเจ็บตลอดชีวิต) เราวิ่งบ้างตามแต่เวลา โอกาส และอารมณ์ จะอำนวย แถมยังได้ออกไปดูโลกภายนอก (ทั้งที่หมายถึง "โลกอื่นๆนอกเหนือจากโลกแห่งการวิ่ง" และ"โลก" จริงๆ) โดยการปั่นจักรยานทางไกลแบบเน้นกินและเที่ยวด้วย
ทริป 100 กม. ครั้งแรก http://www.endomondo.com/workouts/225236021/862998
สัญญานแบบนี้ แปลว่าเราพร้อมจะสู้กับมาราธอนอีกครั้งแล้วสินะ ...อยากรู้จังว่าโพสต์ "5,000 กิโลเมตรแล้วจ้า" จะมีเสื้อ finisher มาอวดเพื่อนๆ มั้ยน้อ ^_____^
ชอบตรงที่ "เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการวิ่งให้อะไรกันแน่ แต่ที่มั่นใจก็คือ วันนี้เราจะวิ่งเพื่อที่จะได้วิ่งไปอีกนานๆ...ไม่ใช่แค่ 4-5 ปี...แต่วิ่งอย่างยั่งยืนไปตลอดชีวิต"
ReplyDelete....เริ่มฝึกวิ่งจริงจังเพื่อที่จะวิ่งให้ได้ดีขึ้นจากที่เคยลงมินิฯ ปีละครั้งแบบแทบหมดสภาพ...เมื่อฝึกมาไม่ถึงปีก็เกิดความคิดที่ว่า "เราจะวิ่งเพื่อ?" ก็เวลาที่ทำได้ก็ห่างไกลเกินจะคว้าถ้วย..คำตอบที่ได้ก็คือ เราจะได้วิ่งได้อย่างสนุก ไม่ใช่วิ่งด้วยความทรมาน และจะได้วิ่งต่อไปอีกนานๆ นั่นเองครับ
ยินดีด้วยค่ะ
Deleteมาร่วมสร้างวิถีการวิ่งอย่างยั่งยืนกันนะคะ
ครบ 60 แล้ว อย่าลืมมาวิ่งฉลองแซยิดด้วยกันล่ะ ^__^
ยินดีด้วยครับ เพราะกว่าจะฝ่าฟันมาตรงนี้ได้ คุณoor ก็ได้แสดงให้เห็นว่าต้องใช้ความพยายามความตั้งใจทำจริงๆ
ReplyDeleteส่วนผมก็กำลังค้นหาต่อไปครับ ว่าเมื่อไหร่จะ ควบคุมการซ้อมให้ลงตัว ที่จะวิ่งแล้วไม่เจ็บ ไม่ป่วย ตลอดไป บางอย่างรู้ทั้งรู้ว่ามันผิด แต่มันก็ห้ามยากจังเลยครับ เพราะผมก็คนนึง ที่ซ้อม easy ด้วยpace ใกล้ๆtempo พอได้เอา HR มาจับค่อยได้รู้ว่าไอ้ที่เราว่ารู้สึกสบาย HR เรามันไม่สบายด้วยเลย
เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เพิ่งวิ่งนะคะ
Deleteรู้ว่าผิดแต่ก็ยังอยากทำ...ก็มันทำได้ง่ะ!! เนอะ ^ ^
แต่พอวิ่งซัก 2-3 ปีถ้าไม่เบื่อ หรือเจ็บจนต้องเลิกวิ่งไปเสียก่อน ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเองค่ะ
ตอนนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไป สร้าง basic ดีๆรอเอาไว้นะคะ
3 ปีแป๊บเดียว
เยี่ยมไปเลยครับ เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจและแหล่งความรู้ของผมจริงๆเลยครับ ^_^
ReplyDeleteขอบคุณคุณอ้วนค่ะ ^___^
Deleteดีใจที่ซู้ดดดด
เราปั่นได้ 100 โลแล้วน้า (แจ้งข่าวๆ)
อ๊ะ...คุณป้อมเคยวิ่งแฟนซีด้วยเหรอครับ แนวจัง ^^
ReplyDeleteงานวิ่งที่เวียงจันทน์ค่ะคุณตั้ม
Deleteแต่งแฟนซีทุกคน ไม่อยากจะบอกว่า...ที่จัดเต็มสุดคือพี่จุ๋ง!! 5555+
ลงชื่อแสดงความยินดีล่วงหน้า 25 ปี วิ่งรอบโลกค่ะ ^______^
ReplyDeleteขอบคุณค่ะพี่โอ๋
Deleteเอาไว้มาฉลองด้วยกันนะคะ งั่กๆๆ ^____^