เพื่อนๆนักวิ่งเคยดู TEDTalk กันบ้างหรือเปล่าคะ มันคือปาถกฐาให้ความรู้ในแขนงต่างๆ จากคนมีชื่อเสียง โดยเฉพาะคนที่มีความเชี่ยวชาญชนิดที่เคยลงมือปฏิบัติในด้านนั้นๆด้วยตัวเอง
และแน่นอน หนึ่งในนั้นมีปาถกฐาจากนักวิ่งคนหนึ่ง ที่นักวิ่งคนอื่นๆไม่ควรพลาด...งั้นมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ
คริสโตเฟอร์ แมคดูกัล ได้ยกปริศนาที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย 3 ข้อ อันได้แก่
1) มนุษย์ยุคแรก (คือโฮโมอีเรคตัส) ล่าสัตว์หรือฆ่าสัตว์ได้อย่างไร ?
บรรพบุรุษของเราสปีชี่ส์นี้ปรากฏกายขึ้นบนโลกเมื่อ 2 ล้านปีก่อน แต่เราค้นพบหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้อาวุธเมื่อ 2 แสนปีที่แล้วนี่เอง ถ้าเช่นนั้น ก่อนหน้านี้พวกเค้าเอาอะไรล่าสัตว์ ในเมื่อเครื่องมือก็ไม่มี วิ่งก็ช้าเมื่อเทียบกับสัตว์ทั่วไป ไม่มีพละกำลัง ไม่มีเขี้ยวเล็บ
2) ทำไมผู้หญิงจึงวิ่งได้สถิติใกล้เคียงผู้ชายมากขึ้น เมื่อระยะทางไกลขึ้น?
ในการแข่งขันวิ่งระยะสั้น ผู้หญิงทำสถิติโลกได้พอๆกับนักเรียนมัธยมชายเท่านั้น แต่เมื่อระยะทางในการแข่งขันเริ่มไกลขึ้นเป็นมาราธอน สถิติโลกของผู้หญิงกลับห่างจากผู้ชายเพียง 10 นาที และเมื่อไกลขึ้นอีกเป็นอัลตร้ามาราธอน สถิติของผู้หญิงกับผู้ชายแทบไม่มีความแตกต่างเลย
3) ทำไมนักวิ่งมาราธอน จึงสามารถรักษาศักยภาพไว้ได้จนแก่หง่อม แม้ศักยภาพนั้นจะลดลงเรื่อยๆตามอายุ แต่ก็ไม่ลดฮวบฮาบเท่ากีฬาที่ต้องใช้ความพยายามสูงประเภทอื่นๆ?
นักวิจัยพบว่าถ้าคุณเริ่มวิ่งมาราธอนตั้งแต่อายุ 19 เมื่อผ่านไปแต่ละปี คุณจะทำเวลาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดสูงสุดที่อายุ 27 และหลังจากนั้น มันก็จะถึงขาลง โดยผู้ชายจะมีศักยภาพกลับมาเท่าตอนเริ่มต้นเมื่ออายุ 45 ปี ส่วนผู้หญิงจะเสื่อมถอยช้ากว่า นั่นคือจะมีศักยภาพกลับมาเท่าตอนเริ่มต้นเมื่ออายุ 60 ปี
จากนั้นคริสโตเฟอร์จึงเฉลยด้วยงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากฮาร์วาร์ดและยูทาร์ ซึ่งทำการศึกษารูปแบบการดำรงชีวิตของชนเผ่าหนึ่งของเม็กซิโก ชื่อ ทาราอูมารา อินเดียน (Tarahumara Indians - ขอบคุณเพื่อน Toonii ที่แนะนำเรื่องการออกเสียงชื่อชนเผ่านี้ด้วยจ้า ^ ^) ที่ได้รับเลือกจากการที่พวกเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหุบเขา มีวิถีชีวิตที่ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้รับอิทธิพลจากภายนอกเลยมากว่า 400 ปีแล้ว
งานวิจัยกล่าวว่า แม้บรรพบุรุษของมนุษย์จะอ่อนด้อยในเรื่องความเร็ว พละกำลัง เขี้ยวเล็บ แต่ในบรรดาสัตว์ทั้งหมด พวกเขามีความสามารถในการหลั่งเหงื่อเก่งที่สุด ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถวิ่งไกลๆในคราวเดียวได้โดยไม่ม่องเท่งไปก่อน
ด้วยความสามารถพิเศษอันนี้เอง ทำให้ตั้งสมมุติฐานเพื่อตอบปริศนาข้อที่ 1 ได้ว่า มนุษย์ล่าสัตว์ด้วยการวิ่งไล่ต้อน แม้จะวิ่งคนเดียวไม่ทัน แต่ถ้าช่วยกันต้อนเป็นกลุ่ม ให้สัตว์วิ่งหนีเป็นระยะทางนับสิบๆไมล์ สัตว์ก็จะเหนื่อยจนขาดใจตายไปเอง ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย
ถ้าสมมุติฐานนี้เป็นจริง ก็จะสามารถตอบปริศนาข้อ 2 และ 3 ได้ด้วย นั่นคือ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือคนแก่ ก็ล้วนมีศักยภาพในการวิ่งระยะไกลได้ไม่ต่างจากชายหนุ่มเลย เนื่องจากผู้หญิงต้องติดตามกลุ่มต้อนสัตว์ให้ทัน เพราะกว่าสัตว์จะเหนื่อยตาย ต้องไล่ต้อนไปไกลมากๆ ถ้าผู้หญิงตามไม่ทันก็อดตาย ส่วนคนแก่ ก็จำเป็นต้องเข้าร่วมกลุ่มต้อนสัตว์เช่นกัน เพราะเป็นผู้มีประสบการณ์สูง ที่จะต้องคอยดูว่าสัตว์ตัวไหนที่เรากำลังต้อนกันอยู่
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพในการวิ่งระยะไกล ดังที่บรรพบุรุษของเราได้พิสูจน์เอาไว้เมื่อ 2 ล้านปีก่อน หรือแม้แต่เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนในเผ่าอาปาเช่วิ่ง 50 ไมล์เป็นขนมโดยที่ไม่มีบันทึกว่าจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บเหมือนคนสมัยนี้แต่อย่างใด
คริสโตเฟอร์ ผูกเงื่อนงำของความบาดเจ็บจากการวิ่งเข้ากับสิ่งเดียวที่แตกต่าง ระหว่างการวิ่งเมื่อ 200 ปีที่แล้วกับโลกปัจจุบัน...นั่นคือ...รองเท้าวิ่ง
และนี่เป็นที่มาของหนังสือ Born to Run ที่สร้างความความตื่นตัวครั้งใหญ่ในหมู่นักวิ่ง ทำให้การวิ่งเท้าเปล่าหรือที่เรียกว่าแบร์ฟุต (Barefoot) กลายมาเป็นกระแสหลัก (mainstream) อีกอย่างของวงการวิ่งในที่สุด
ตัวเราเองสนใจการวิ่งเท้าเปล่ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะพี่ๆนักวิ่งรอบตัวหลายคนบอกว่าสนุก อีกส่วนเพราะเคยลองแล้วพบว่าเป็นท่าที่ลงหน้าเท้าอย่างเป็นธรรมชาติ น่าจะช่วยเสริมสร้างการวิ่งแบบใส่รองเท้าของเราได้ แต่ที่สำคัญ เราอยากทดลองการวิ่ง ที่ว่ากันว่า ลดโอกาสการบาดเจ็บได้มาก เพราะสอดคล้องกับปรัชญา "วิ่งยังไงก็ได้ให้ปลอดเจ็บ" ที่ถือปฏิบัติอยู่
ปัจจุบันมีนักวิ่งไทยหันมาวิ่งเท้าเปล่ามากมาย ถ้าอ่านแล้วสนใจอยากศึกษา ขอแนะนำเพจ บันทึกสองเท้า ของพี่ชายคนเก่งของเราเอง ที่เป็นทั้งนักวิ่งอัลตร้ามาราธอนและนักวิ่งเท้าเปล่า นอกจากนี้ยังมีเพจของกลุ่มนักวิ่งน่ารักใจดีอย่าง Bangkok Barefoot Run Club ที่มีกิจกรรมดีๆมานำเสนออยู่เสมอ ล่าสุดก็ได้เชิญปรมาจารย์ด้านเท้าเปล่าจากญี่ปุ่นมาบรรยายและสาธิต ซึ่งเราไม่ยอมพลาดแน่ๆ เอาไว้มีโอกาสเหมาะๆจะได้มาเล่าสู่กันฟังต่อไปค่ะ
ก่อนจบ ขอหย่อนวิดีโอท่าวิ่งเท้าเปล่า Version 0 ของเรา ก่อนเข้า workshop ไว้เป็นหลักไมล์ ณ ที่นี้ แม้จะดูแล้วกะย่องกะแย่งพิลึก แต่ก็อยากแปะเอาไว้เพื่อดูพัฒนาการต่อไปค่ะ ^ ^
*** update 1/7/56 ***
มีนักวิ่งท่านหนึ่งนาม Keroro Gunso เอาคลิปนี้มาแชร์พอดี โป๊ะเชะเสียนี่กระไร เลยหยิบมาแปะในนี้ให้ได้ดูกันทั่วๆค่ะ มาดูกัน ว่าเค้าวิ่งต้อนสัตว์ให้ขาดใจตายกันยังไง
ดูวีดีโอสุดท้ายแล้ว ซึ้งตรงที่นักล่า pay tribute ให้กับสัตว์ที่ถูกล่า ขอบคุณสำหรับชีวิตที่เค้าเสียสละให้ ซึ้งมาก ๆ .. เทียบกับมนุษย์ยุคปัจจุบันที่มีชีวิตน่าเบื่อถึงขนาดออกไปล่าสัตว์ ตกปลา เพื่อความสนุกของตน ช่างน่าเศร้า
ReplyDeleteป.ล. ไม่เกี่ยวกับ barefoot running เล๊ย ^_^
เม้นต์ได้หมดค่ะ ไม่ต้องเกี่ยวก็ได้ มาเม้ากันๆ
Deleteดูช็อตนั้นแล้วก็ซึ้งเหมือนกันเลย T_T
เราก็คิดแบบเดียวกับเค้านะคะ ตอนนี้เวลาที่กินเนื้อสัตว์จะคิดเสมอว่า มันต้องตายมาให้เรากิน
เพราะฉะนั้นจงอย่ากินทิ้งขว้าง อย่าให้มันตายอย่างไร้ความหมาย...ไรงี้
(จริงๆคิดกับพืชผักด้วย...สรุป...ตอนนี้อ้วนตัวจะแตกอยู๋แร้ว 5555+)
กำลังอ่านหนังสือของเฮียแกอยู่พอดี
ReplyDeleteอ่านจบแล้วเขียนเล่าใน blog ด้วยนะคะ
Deleteฝุ่นจับหมดแร้ว อิอิอิ
คุณป้อมเขียนได้ละเอียดดีนะครับ เดี๋ยวคงต้องแวะมาอ่านบ่อยๆ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะคุณตั้ม
Deleteเราก็ตามอ่าน http://runners.onnut.net/ ทุกโพสต์เหมือนกัน
บล็อกสวย เรื่องน่าสนใจ
เขียนไปนานๆนะคะ