หนึ่งในนั้นคือ ให้เพื่อนนอกวงโคจรปกติของชีวิต ...มานั่งคิดๆดู ถ้าไม่ได้ทำกิจกรรมสหวิชาชีพแบบการวิ่ง เราก็คงมีแต่เพื่อนเรียนกับเพื่อนที่ทำงาน ซึ่งถ้าไม่เป็นวิศกรก็คงเป็นอาจารย์ และส่วนใหญ่ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเท่านั้น
แต่เมื่อมาวิ่ง เราได้รู้จักตั้งแต่เจ้าของบริษัทไล่มาจนถึงวินมอ'ไซค์ คนเชียงใหม่ถึงคนเบตง แต่ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรหรือเป็นคนที่ไหน ความรักในสิ่งเดียวกันทำให้เราคุยกันได้อย่างถูกอัธยาศัยและคุ้นเคยกันอย่างง่ายดาย ดังเช่นเพื่อนนักวิ่งชาวพิดโลก 2 ท่าน ที่คนนึงเป็นเพื่อนคนแรกๆที่รู้จักกันผ่าน blog อีกทั้งยังเคยแชร์ไอเดีย ทำยังไงเมื่อสายนาฬิกาขาด ใน blog นี้ อีกคนเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันใน social network และเราได้อาศัยวิ่งเกาะไปเมื่อคราวพัทยามาราธอน ที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทำให้เรามีไฟจนได้คลอดทริปนี้ขึ้นมาด้วย ขอถือโอกาสเปิดเรื่องด้วยการขอบคุณ คุณโจ้และพี่ต่อ มา ณ ที่นี้ก่อนเลยละกันค่ะ โชคดีจังเลยน้อเรา ^____^
กลั้นใจกดเบอร์ 1690 ตามที่ search เจอในอินเตอร์เน็ต บริกรรมคาถาล่วงหน้านิดหนึ่งเพราะออร่าของ "การรถไฟแห่งประเทศไทย" ทำให้กังวลว่าจะต้องเจอการบริการแบบเจ้ายศเจ้าอย่าง ประหนึ่งเรามาขอขึ้นฟรีก็ไม่ปาน แต่ผิดคาด น้องผู้หญิงที่รับสาย ตอบคำถามอย่างสุภาพและช่วยหาข้อมูลให้อย่างแข็งขัน แล้วเนื่องจากจองกระชั้นชิดไป (6 วันก่อนเดินทาง) ทำให้ตู้นอนของขบวน 51 เที่ยวคืนวันศุกร์ที่เราวางแผนไว้เต็มหมดแล้ว เหลือแต่ชั้นสองที่เป็นตู้นั่งแบบปรับเอนได้ ...เอาวะ!! ก็ดีเหมือนกัน จะได้ลองให้หมดทุกแบบ (แต่จะให้นั่งชั้นสามไปไกลขนาดนั้นก็คงไม่สู้นะคะ ป้าแก่แร้ว) ส่วนตู้นอนขากลับวันอาทิตย์ขบวน 14 ก็เต็มหมดเช่่นกัน เหลือแต่ของขบวนก่อนหน้านั้นซึ่งมีกำหนดมาถึงรังสิตตอนตี 4 ...เอาวะ!! มานั่งคอยให้ฟ้าสางที่สถานีแล้วค่อยปั่นกลับก็ได้ ยังไงก็ขอนอนให้หลับสนิทไว้ก่อน เพราะวันจันทร์ต้องทำงาน
หลังจากตกลงเรื่องเที่ยวรถ และที่นั่งเรียบร้อยแล้ว น้อง call center ก็จะถามชื่อแซ่ เลขบัตรปชช. และสถานีที่เราจะไปรับตั๋ว ซึ่งสามารถรับได้ที่สถานีรถไฟในกรุงเทพและชานเมืองทุกแห่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานีเดียวกับที่เราจะขึ้นในวันเดินทาง โดยต้องรับภายใน 4 ทุ่มของวันถัดไป ไม่มีค่าบริการ แค่ติดต่อช่องขายตั๋ว แสดงบัตรปชช.-บอกรหัสที่น้อง call center ให้-จ่ายตังค์ จบ
เล่าให้ฟังเพื่อเป็นข้อมูลและอุทาหรณ์ว่า รถไฟช่วงสุดสัปดาห์โดยเฉพาะตู้นอน เต็มไวนะคะ อย่าได้คิดว่า...ใครจะขึ้นแว้... แบบเราเป็นอันขาด ^ ^" เพิ่มเติมด้วยว่า บริการของ call center นี้ รับจองล่วงหน้า 5 วันขึ้นไปเท่านั้น ถ้าใครจะเดินทางวันศุกร์แล้วเพิ่งนึกได้วันจันทร์...อดฮ่ะห์!!
สถานีรถไฟรังสิตยามดึก เห็นคนนั่งคอยอยู่อีกฝั่งของรางอยู่ประปราย |
ตามกำหนดการ ขบวน 51 กรุงเทพ-เชียงใหม่ จะมาถึงสถานีรังสิตตอน 22:58 ครั้นจะให้ปั่นออกจากหอซัก 3 ทุ่มครึ่งเพื่อให้ไปทันเวลาพอดีก็ไม่เหมาะ เพราะเส้นเลียบคลองเปรมแค่ 2 ทุ่มก็เปลี่ยวแล้ว หลังเลิกงานเราจึงต้องรีบเก็บข้าวของปั่นออกมาทันที แล้วมานั่งรอที่สถานีแทน
สถานีรังสิตไม่เปลี่ยว มีคนมารอรถไฟตลอดเวลา แค่เหม็นและโทรมและยุงดุมากเท่านั้น มีร้านอาหารตามสั่งเปิดเป็นเพื่อนถึง 5 ทุ่ม เอาไว้นั่งกินข้าวแก้เซ็งได้ รถไฟ delay ตามฟอร์ม (ภาษาทางการเรียกว่า "เสียเวลา") แต่ก็ไม่มากแค่ 12 นาที ถามลุงที่รอขบวนเดียวกันแกว่า ไม่แน่ไม่นอน บางทีดีเลย์เป็นชั่วโมงก็มี
รถไฟชั้นสองเป็นอีกโบกี้ที่เหมาะกับการแหมะจักรยานพับ เพราะเบาะเป็นแบบเดียวกับรถทัวร์ที่หันไปทางเดียวกันหมด ที่หลังเบาะท้ายโบกี้จะมีที่ว่างเหลืออยู่ทั้งสองฝั่ง ถ้าไม่มีใครตัดหน้าเอาสัมภาระไปวางไว้ก่อน เราก็เอารถพับไปซุกไว้ฝั่งละคันได้สบายๆ
ทอดตาดูแล้วตู้ไม่เต็ม เพื่อนร่วมทางส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง สัณนิษฐานว่าคนไทยคงเดินทางด้วยรถทัวร์กันหมด เพราะสะดวกกว่าแถมยังถูกกว่าอีกด้วย โดยรวมก็นั่งสบายดี มีเสียงกึงกังของรถไฟคลอเป็นฉากหลังไปตลอดนิทรารมย์ ถ้าเพลียมากๆก็หลับได้อยู่นะ ถือซะว่าเอาความคลาสสิกละกัน ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีพิษณุโลกเกือบตี 5 ของเช้าวันเสาร์
AIT-สถานีรถไฟรังสิต: http://www.endomondo.com/workouts/294336944/862998
ปั่นเที่ยว(และกิน)ในเมืองพิษณุโลก
สถานีรถไฟที่นี่อยู่ใจกลางเมืองเหมือนเมืองนอกเลย พบคุณโจ้ พิดโลก มายืนยิ้มเผล่รอรับอยู่แล้ว แผนก็คือบ่าย 2 เราทั้งสามคน (กรุงเทพ2 พิดโลก1) จะต้องไปขึ้นรถรับส่งของงานวิ่งซึ่งจอดที่บขส.เพื่อพาเราข้ามอำเภอเป็นระยะทางเกือบ 70 กม.ไปยังเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน สถานที่จัดงาน มีเวลาอีก 9 ชั่วโมงก่อนขึ้นรถ ก็ควรใช้ให้คุ้มค่าทุกเม็ด ด้วยการไปปั่นชมเมืองเถิดเอย
พวกเราฝากของ ล้างหน้าแปรงฟันที่บ้านพักของคุณโจ้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 200 เมตร ส่วนอาบน้ำ... เสียเวลา เดี๋ยวแดดออกซะก่อนจะปั่นไม่สนุก... รักจะทัวร์ริ่ง ต้องไม่กลัวซกมก!! มิตรสหายท่านหนึ่งไม่ได้กล่าวไว้ แต่เรากล่าวเอง ^ ^ จากนั้นเราสามคน รถพับ 2 เสือภูเขา 1 ก็ไปสมทบกับน้องเฟิร์น ซึ่งคุณโจ้ทาบทามให้มาเป็นไกด์
น้องเฟิร์นพาปั่นออกนอกเมืองมุ่งหน้าม.นเรศวร เวลาเช้าในต่างจังหวัด แม้จะเป็นถนนใหญ่แต่รถยังน้อย ปั่นสนุก จากนั้นก็ลัดเลาะเข้าถนนของหมู่บ้าน ไฮไลท์อยู่ที่สะพานขึงข้ามแม่น้ำน่าน (กม. 11.8) สวยคลาสสิกทั้งสะพานและแม่น้ำเบื้องล่าง นับเป็น Unseen Pisanulok ได้เลยเพราะแม้แต่คนในเมืองอย่างคุณโจ้ก็ยังไม่รู้จัก จากนั้นก็แวะไปชม มน.ถิ่นเก่าคุณโจ้ ไหว้พระรูปพระนเรศวร กลับเข้าเมืองอีกทีตอนสายๆ เพื่อมากินอาหารเช้า ซึ่งก็คือ ต้มเลือดหมูร้าน ศ.โภชนา เจ้าดังของเมืองพิดโลก (กม. 37.5) อร่อยสมคำร่ำลือ ทีเด็ดอยู่ที่ใส่จิงจูฉ่าย-ผักเอกลักษณ์ของต้มเลือดหมูที่หากินยาก มาให้อย่างสะใจ
จากนั้นก็ปั่นชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในตัวเมือง ทั้งวังจันทร์ซึ่งเป็นวังที่พระนเรศวรประทับตอนเด็ก ที่ตอนนี้เหลือแต่เพียงอิฐฐานกำแพงวังเท่านั้น วัดใหญ่ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช ซึ่งเราโชคดีเพราะมาตอนมีงานสมโภชน์ประจำปีพอดี ทางวัดเลยเปิดให้ขึ้นไปกราบพระบรมสารีริกธาตุบนยอดพระปรางค์ด้วย ปิดท้ายด้วยอาหารเที่ยงคือ ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นป้าล้อม (กม. 47.4) ที่ทำให้คนกินตะลึงด้วยน่องติดสะโพกชินเบ้อเริ่มคับชาม กินเสร็จก็กลับบ้านคุณโจ้เพื่ออาบน้ำ (ครั้งแรกในรอบ 18 ชั่วโมง ;p ) เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไป ศิริรวมแล้วปั่นไป 49 กม.
ปั่นเที่ยวในตัวเมือง: http://www.endomondo.com/workouts/294496815/862998
เมืองพิษณุโลก-เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน
งานวิ่งต่างจังหวัด ถ้าจัดไกลจากเมืองและมีผู้จัดใจป้ำ ก็มักจะจัดรถรับส่ง เพื่อรับนักวิ่งจากตัวจังหวัดไปส่งให้ถึงบริเวณงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย งานนี้ก็เช่นกัน มีการจัดรถรับส่งถึง 3 เที่ยว ตั้งแต่บ่าย 2 ถึง 6 โมงเย็น
เราได้คุยกับพี่ต่อซึ่งประสานงานกับผู้จัดให้อีกทีเรียบร้อยแล้ว ว่าขอเอารถพับ 2 คันขึ้นรถไปด้วย ไปถึงบขส.ก็เห็นรถสองแถวขนาดบรรทุก 10 คน ติดป้ายไวนิลโลโก้งานวิ่งจอดรออยู่แล้ว ลองยกจักรยานขึ้นที่วางของซึ่งอยู่บนหลังคาห้องโดยสารด้านหน้า พบว่ายัดไม่ลง จึงต้องวางคู่กันบนพื้นรถด้านในสุดแทน ที่วางเท้าไม่เหลือแล้ว เราสองคนจึงต้องนั่งพาดขาบนจักรยานของตัวเอง หลับๆตื่นๆ ไปจนถึงเขื่อน
ก่อนจะหลับ เรานั่งฟังบทสนทนาของเพื่อนร่วมทางอีก 7 คน ที่ดูโหงวเฮ้งตั้งแต่ที่บขส. ก็รู้แล้วว่าต้องมาขึ้นรถคันเดียวกันแน่ๆ -ชายไทย-อายุ 40 ถึง 50 ปี-ผิวคร้ามแดด-รูปร่างสันทัดค่อนไปทางผอม แต่แกร่ง-แบกเป้ใบย่อม-บางคนถือเต็นท์-หลายคนถือถุงหูหิ้ว ข้างในมีของกินจำพวกขนมปัง...อาห์...นี่สินะ... มาราธอนเนอส์ในตำนาน
ไม่มีใครเลยที่มาด้วยกัน แต่หลายคนทักกันอย่างคุ้นเคย ทุกคนคุยกันด้วยเรื่องงานวิ่งที่นู่น-ที่นั่น-ที่นี่-แนวหน้าคนโน้นคนนี้ และประเด็นที่คุยกันออกรสที่สุดคือ...ฟอร์รันเนอร์ลีก!! การแข่งขันที่ข้าพเจ้าและเพื่อนนักวิ่งกรุงเต้บรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายสิบคนอาจเคยได้ยินชื่อแว่วๆ แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียดเลย ...หารู้ไม่ว่าในโลกนักวิ่งใบเดียวกันนี้ มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อินกับมันมากๆ แบบเดียวกับที่พวกเราอินกับ challenge บน endomondo จนต้องวิ่งเก็บไมล์กันตะบี้ตะบันจนหยดสุดท้ายนั่นแล
เค้าลางแห่งความ "คลาสสิก" มาเยือนข้าพเจ้าเสียแล้ว... คิดได้เช่นนั้นก็ผลอยหลับไปท่ามกลางลมอื้ออึงและเปลวแดดยามบ่ายที่ส่องมาฝั่งที่ข้าพเจ้านั่งอยู่พอดี
เย็นวันเสาร์-เช้าวันอาทิตย์
รถสองแถวมาถึงเขื่อนประมาณบ่าย 3 ครึ่ง พวกเราตรงไปสมัครวิ่งก่อนอื่นใด เพราะต้องเอาใบเสร็จไปขอรับเต็นท์นอนที่ผู้จัดงานเตรียมไว้ให้กับเครื่องนอนพร้อมสรรพ แถมยังบริการกางและเก็บให้ด้วย เรียกว่าอำนวยความสะดวกกันสุดๆ ไม่งั้นคงต้องแบกเต็นท์มาเอง เพิ่มความทุลักทุเลในยามที่ต้องเดินทางด้วยจักรยานคันจ้อยอย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้เราได้สอบถามและจองเต็นท์ไว้ก่อนแล้ว ไม่ได้มาตายเอาดาบหน้า ในขณะที่กำลังรู้สึกภูมิใจในความราบรื่นจากการวางแผนล่วงหน้าอยู่นั้น พลันก็รู้สึกกระหาย อยากกินน้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบ กับหาขนมกินแก้ปากว่าง ...แต่ๆๆ ไหนล่ะเซเว่น!! โอเคบนเขื่อนคงไม่มีเซเว่น งั้นเอาร้านขายของชำประจำสำนักงานเขื่อนก็ได้...แต่ๆๆ ไหนล่ะสำนักงานเขื่อน เห็นมีแต่ตึกพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่างที่คงร้างมานานแล้ว นอกนั้นก็เป็นสนามหญ้าโล่งๆ ในระยะสุดสายตามองไม่เห็นร้านอะไรเลย!! มิน่าล่ะ พี่ๆบนรถสองแถวถึงหอบหิ้วของกินมาด้วยอย่างรู้งาน
อย่าว่าแต่ของกินเล่นแก้เหงาปากเลย ในยามนี้ แผนที่จะกินข้าวเคล้าวิวสันเขื่อน ชมอาทิตย์อัสดง ณ ร้านสวัสดิการ เหมือนเขื่อนเพื่อการท่องเที่ยวอื่นๆ ก็เป็นอันตกไปเรียบร้อย เราและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 2 คน จึงนั่งหิ้วท้องรอจนถึง 5 โมงเย็น ในที่สุด buffet dinner จากผู้จัดก็เปิดให้บริการ...ใช่ค่ะ อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้ว งานวิ่งตจว.จะมีการเลี้ยงข้าวเย็นด้วย ท่าบังคับของอาหารเลี้ยงนักวิ่งคือ ผัดผัก แกงเผ็ดมะเขือเปราะกับเนื้อสัตว์อะไรซักอย่าง (บอกไม่ได้ เพราะควานไม่เจอ) และไข่ต้ม แม้จะยังเร็วไปสำหรับมื้อเย็น แต่เมื่อเห็นคนอื่นๆกรูเข้าไปทันทีที่โฆษกประกาศ เราทั้งสามก็จำเป็นต้องร่วมวงไพบูลย์ด้วย เพราะถ้ามัวเหนียมๆอายๆ รอคนซาซะก่อน เกิดหมดขึ้นมา แปลว่าเราต้องอดข้าวเย็นแน่นอน
เนื่องจากรีบกิน buffet คนยาก จนลืมถ่ายรูป เลยให้ดูก๋วยเตี๋ยวไก่ป้าล้อมและต้มเลือดหมู ศ.โภชนา ไปพลางๆ |
อิ่มหนำสำราญดีแล้วเราก็มองหาทำเลห้องอาบน้ำ อย่างที่ได้เล่าไปก่อนหน้า ว่าเขื่อนนี้ไม่เหลือสถานที่ใดๆ เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวแล้ว ดังนั้นห้องน้ำที่แยกออกมาจากตึกพิพิธภัณฑ์ร้างจึงอยู่ในสภาพที่มาคุสุดๆ แค่เยี่ยมหน้าเข้าไปหน่อยเดียวก็สยองแล้ว เราตัดสินใจในทันใดว่า...ดองโลด!! นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของผู้หญิงเรื่องมากแน่นอน เพราะขนาดเพื่อนชายอีก 2 คนที่มาด้วยกันก็ยังเห็นตามนั้น ^ ^" โชคดีอยู่บ้างที่ช่วงนี้อากาศเย็น การไม่อาบน้ำก่อนเข้านอนจึงไม่ทำร้ายจมูกคนรอบตัวมากนัก
แค่ 1 ทุ่มพวกเราก็แยกย้ายเต็นท์ใครเต็นท์มัน ประการแรกเพราะไม่มีอะไรให้ทำ ประการต่อมา เราเคยได้ยินคำเล่าลือมาก่อนแล้วว่า ถ้านอนในบริเวณงาน คุณจะถูกปลุกตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่จากเครื่องเสียงของงาน ...คืนวันเสาร์ เราสลบเหมือดไปอย่างง่ายดายเพราะความเพลียจากแดดและการเดินทาง
ตื่นมาอย่างสดใสในเช้าวันอาทิตย์ ไม่ใช่เพราะเสียงจากลำโพงเพราะเพิ่งตี 2 กว่าเท่านั้น แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพราะเสียงพูดคุยเคล้าเสียงถุงก๊อบแก๊บของพี่เต็นท์ข้างๆ เนื่องจากนักวิ่งมาราธอนต้องตื่นขึ้นมากินคาร์โบไฮเดรตก่อนวิ่ง ข้าวหลามบ้าง บ๊ะจ่างบ้าง ตามสูตรของใครของมัน นอนฟังชาวบ้านคุยกันพักใหญ่จึงมีความเคลื่อนไหวจากบนเวที ...พี่มาราธอนลุกไปวอร์มอัพแล้ว เพื่อรอการปล่อยตัวตอนตี 4 ส่วนเรา แม้จะปล่อยตัวตีห้าครึ่ง แต่ก็จำใจต้องลุกตาม เพราะทนปวดฉี่ไม่ไหวแล้ว!!
ขณะเดินออกจากเต็นท์อย่างสิ้นหวัง เพราะรู้ว่าต้องเจออะไรบ้างในห้องน้ำมาคุนั้น พลันก็เห็นสิ่งที่ทำให้ยิ้มออกมาได้ มันคือรถสุขาเคลื่อนที่นั่นเอง!! นี่คือส้วมซึ่งเมื่อจอดไว้ที่งานวิ่งในเมือง อาจถูกจัดให้เป็นส้วม priority หลังๆ แต่ในยามนี้ เมื่อเทียบกับส้วมที่มีอยู่ มันก็นับว่าเป็น "สุขา" อย่างเต็มภาคภูมิ เรารีบทำธุระ พร้อมทั้งล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนที่การจราจรในรถแคบๆนี้จะคับคั่งตามจำนวนนักวิ่ง
วิ่งมินิมาราธอน
ต้นเดือนกุมภากลางป่าเขาความหนาวยังหลงเหลืออยู่มาก หลังจากเยี่ยมๆมองๆ ที่เต็นท์แม่ครัวจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรให้กินรองท้องก่อนวิ่งแน่แล้ว เราจึงออกไปวอร์มแต่เนิ่นๆ รู้สึกล้าจนก้าวขาแทบไม่ออก ไม่รู้ว่าเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่วิ่งตอนเช้ามืดหลังวันปั่นยาวหรือเปล่า ใจนึงบอกว่างั้นกลับไปนอนต่อเหอะ แต่อีกใจก็บอกว่า ถ้าไม่วิ่งก็ไม่มีเรื่องไปเขียนนะ...ได้ผลวุ้ย! เราฝืนใจจ็อกวอร์มเตาะแตะๆ ฝ่าลมหนาวไปจนถึงเวลาเช็คอิน
เมื่อแตรลมดัง เราจ็อกตามฝูงชนออกไปตามสันเขื่อนช้าๆ ฟ้ายังมืดสนิท ในช่วงสันเขื่อนแม้จะมีไฟถนน แต่ก็ห่างกันจนทำให้มองไม่เห็นเส้นทางไปบางช่วง อย่างไรก็ตามเมื่อลงจากสันเขื่อน ก็เห็นความตั้งใจดีของผู้จัด ด้วยการนำโคมไฟฟ้ามาแขวนไว้ตามต้นไม้บ้าง วางบนหลักกิโลบ้าง เป็นระยะ ดูมลังเมลืองดี
เราตั้งใจว่ากิโลแรกจะช้าๆ เพซ 6 กว่าๆไปก่อน เครื่องติดเมื่อไหร่ค่อยเร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็น negative split แบบงานที่วัดบางหญ้าแพรก (ซึ่งเราได้ถ้วยด้วย อิอิอิ) แต่อนิจจา วิ่งไป 2 กม.แล้วขาก็ยังล้าอยู่...เออ...ช่างมันแล้ววุ้ย!! ถือว่ามาวิ่งซ้อมในบรรยากาศขุนเขาแถมมีคนเตรียมน้ำให้กินอีกต่างหาก ก็แล้วกัน แอบดีใจที่เจียมตัวลงแค่มินิฯ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ถ้าลงฮาล์ฟเพราะเสียดายที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งหลายร้อยโล คงล่อไป 3 ชั่วโมงกว่าแน่นอน
เส้นทางขาไปมีแต่ทางลงกับทางราบ เตือนให้สังวรณ์ว่าหลังจุดกลับตัวมีงานงอกรออยู่...แต่ๆๆ ไหนล่ะจุดกลับตัว!! ข้าวิ่งเกิน 5 กม.มานานแล้วน้าาาา มั่นใจใน sense of direction ที่ผิดวิสัยผู้หญิงของตนเอง ว่าตอนนี้เรายังไม่ได้ย้อนกลับไปทางทิศที่เป็นเส้นชัยอย่างแน่นอน หลังจากที่วิ่งก็แล้ว แวะเข้าห้องน้ำที่ร้านของชำข้างทางก็แล้ว (มันเป็น default ของข้าพเจ้าไปแล้ว ปลงละ ^ ^) ในที่สุดก็พบสต๊าฟยืนถือยางวงซึ่งเป็นเครื่องหมายของจุดกลับตัวอยู่ในกม.ที่ 8 กว่าๆ นั่นเอง
สรุปแล้วงานนี้แถมให้เกือบ 4 กม. เราวิ่งด้วย pace 6 ปลายไปตลอดทาง มายอมแพ้หยุดเดินตรงเนินปราบเซียนเนินสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัยเท่านั้น (และแวะเข้าห้องน้ำไป 2 ครั้ง แหะๆ) แล้วก็เป็นไปตามที่แอบลุ้น...เราได้ถ้วยด้วยแหละ ว่ะฮ่าๆๆๆ อันดับ 4 ในกลุ่มอายุ
มินิมาราธอน เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน:
เขื่อนแควน้อยฯ-เมืองพิษณุโลก
รับถ้วย กินข้าวต้มที่งานทำเลี้ยงพอรองท้องเสร็จ เราก็ล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปั่นเต็มยศ...อย่าถามเรื่องอาบน้ำนะคะ...ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ไม่อาบ!!
คุณโจ้ซึ่งไม่ได้พกจักรยานมาด้วย ติดรถพี่ที่รู้จักกันกลับตัวเมืองไปพักผ่อนก่อน ส่วนเรากับทีมงาน (1 คนถ้วน) ก็ได้เวลาทรมานบันเทิงด้วยการปั่นรถพับตามไปเป็นระยะ 72 กม. ...อันทีจริงก็ไม่ได้ทรมานอะไรมาก เพราะปั่นเรื่อยๆ ระดับ recovery ภูมิประเทศ 40 กม.แรกในอ.วัดโบสถ์เป็นเนินขึ้นๆลงๆ ถนนกว้าง รถน้อย ปั่นสนุกมาก แต่อย่าหวังทางร่มรื่นมีต้นไม้บังแดดนะคะ หายากกกก จากนั้นจึงลดระดับอย่างฉับพลันลงสู่ที่ราบในเขตอำเภอเมือง เส้นทางในช่วง กม. 52-65 เงียบสงบ สองข้างทางมีแต่นาข้าวเขียวขจีสบายตา น่าปั่นเป็นที่สุด
ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงรวมกินข้าวเที่ยง ก็มาถึงบ้านคุณโจ้ สิ่งแรกที่เราโหยหาไม่ใช่โซฟานุ่มๆ ...หลังจาก 25 ชั่วโมงที่ทั้งต้องวิ่งและปั่นด้วยสภาพดองเค็ม ในสุดข้าก็ได้อาบน้ำาาาาา (ภาพประกอบคือเรากำลังคุกเข่า กำหมัดทั้งสองข้างชูขึ้นฟ้าแบบนักบอลที่เพิ่งยิงประตูได้)
เขื่อนแควน้อย-เมืองพิษณุโลก: http://www.endomondo.com/workouts/294892007/862998
พิษณุโลก-สถานีรังสิต-หอพัก
แดดร่มลมตกดีแล้ว เราก็ออกปฏิบัติภารกิจสุดท้าย นั่นคือสำรวจที่วิ่งของคนเมือง โดยมีคุณโจ้นักวิ่งเจ้าถิ่นเป็นไกด์นั่นเอง
สวนชมน่านเป็นสวนสาธารณะริมฝั่งแม่น้ำน่านซึ่งไหลผ่าเข้ามากลางเมือง ประกอบด้วยส่วนที่เป็นสวน ซึ่งมีอยู่หย่อมเดียว และส่วนที่เป็นทางคอนกรีตเลียบแม่น้ำทั้งสองฝั่ง เชื่อมถึงกันด้วยสะพาน (ที่เป็นทางสัญจรของรถยนต์ด้วย) ทั้งฝั่งหัวและท้ายของสวน ระยะหนึ่งรอบประมาณ 2.3 กม. บรรยากาศดี ลมแม่น้ำพัดเย็นสบาย นอกจากนี้ริมฝั่งด้านหนึ่งยังเป็นแหล่งรวมร้านนม ที่สังสรรค์ของวัยรุ่นเมืองพิดโลกอีกด้วย ใครมีโอกาสไปทำธุระที่จังหวัดนี้ หลังเสร็จจากการไหว้พระพุทธชินราชแล้ว แค่ข้ามถนนหน้าวัดมา ก็ถึงสวนชมน่านแล้วค่ะ
หลังอิ่มอร่อยกับมื้อสุดท้ายที่พิษณุโลก ซึ่งเพื่อนนักวิ่งที่แสนน่ารักอย่างพี่ต่อเป็นเจ้ามือ เราก็จูงจักรยานกันคนละคัน กลับมายืนที่เดิมเมื่อเช้ามืดของวันวาน...เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ สองวันนี้ช่างแสนคุ้มค่า ได้ทั้งประสบการณ์และอัพเลเวลความถึก แล้วพบกันอีกนะเมื่อชาติต้องการ ^ ^
รถไฟขบวน 108 มาถึงตอน 4 ทุ่มครึ่ง ช้าไปประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อขึ้นไปบนรถ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาบอกว่าจะต้องเสียค่าระวางสำหรับรถจักรยาน เรายืนยันว่ามีระเบียบออกมานานแล้วว่ารถพับได้รับการยกเว้น (อันที่จริงเงินเพียง 100 ไม่ได้มากมายอะไร แต่ถ้าเราหยวนๆ สิทธิ์ที่สมาคมจักรยานอุตส่าห์หามาให้ก็จะโดนลิดรอน) เขาหายไปสักพักก็มีจนท.อาวุโสกว่าคนนึงมาคุยกับเรา คุณลุงขอโทษและชี้แจงว่าจนท.คนเมื่อกี๊ไม่ทราบระเบียบ เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร แอบดีใจนิดๆ ที่สงสัยจะเป็นนักปั่นคนแรกที่พกจักรยานพับขึ้นรถไฟที่สถานีพิดโลก 555+
อายุปูนนี้แล้วก็เพิ่งเคยขึ้นรถไฟตู้นอน เราพบว่าถ้ามากัน 2 คนแล้วจองเตียงบนและล่าง รถไฟตู้นอนนี่แหละ เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บรถพับ เพราะไม่ต้องรบกวนชาวบ้านหรือพื้นที่ส่วนกลางเลย เพียงแต่คนนอนเตียงล่างจะเข้าออกลำบากหน่อยเท่านั้นเอง
ตั้งนาฬิกาไว้ตี 4 ตามกำหนดการที่รถไฟจะถึงที่หมาย แล้วก็หลับสนิทรวดเดียวด้วยความอ่อนเพลีย รถไฟมาถึงสถานีรังสิตจริงๆตอนตี 4 ครึ่ง กว่าจะจัดสัมภาระ ผูกกับรถให้มั่นคงไม่ร่วงไปกลางทางก็ร่วมๆตี 5 timing ปลอดภัยต่อการปั่นกลับหอพักพอดี ...อะไรนะ จัดยากขนาดนั้นเลยเหรอสัมภาระเนี่ย...แหมๆๆ ก็ยากนิดนึงส์อะจ้ะ...ก็ขากลับมีถ้วยงอกออกมาใบนึงด้วยนี่นา ^______^
สถานีรังสิต-AIT: http://www.endomondo.com/workouts/295230908/862998
หมายเหตุ
รถไฟขาไป ตู้นั่งพัดลม ประมาณ 300 บาท
รถไฟขากลับ ตู้นอนเตียงล่าง ประมาณ 400 บาท
ค่าเดินทางทั้งทริปมีเพียงเท่านี้ค่ะ
อ.อ้อเขียนสนุก เห็นภาพตลอดทาง น่าตื่นเต้นดีครับ
ReplyDeleteขอบคุณคุณกวีค่ะ
Deleteที่ว่า น่าตื่นเต้น สงสัยเราชอบใส่ "!!" แน่ๆเลย
ตามประสาคนโอเวอร์แอคชั่น แหะๆ
สนุกฝุด ฝุด .... ไว้มีไปปั่นวิ่ง ชสนด้วยนะ น้องป้อม.. ^_^
ReplyDeleteได้เลยค่ะพี่อ๊อด ไปกันๆ
Deleteสุดยอดนักเดินทางครับ ปีหน้าเรียนเชิญมาอีกนะครับ มาแจ้งstaffได้ครับจัดรางวัลการเดินทางพิเศษให้ครับ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะที่ให้เกียรติ
Deleteจะดีมากเลย ถ้าปรับปรุงห้องน้ำอะค่ะ ^ ^ ไม่อยากดองอีกแย้ววว
อ่านแล้วสนุกมากอ.ป้อมมาอีกนะ11พ.ค นี้วิ่งภูหินร่องกล้า สนามนี้จัดวิ่งครั้งแรกขอเรียนเชิญมาวิ่งด้วยกันอีกครัช. ^_<
ReplyDeleteน่าสนใจค่ะพี่ต่อ
Deleteถ้าว่างจะไปนะคะ แต่คราวนี้อาจจะไปทางด่านซ้าย เที่ยวก่อนแล้วค่อยปั่นมาที่งาน
สนุกจัง อ่านแรกๆ อยากไปมั่ง ได้ทำอะไรต่างจากปกติ แต่หลังจากไม่อาบน้ำนานขนาดนั้น(รวมวิ่งเหงื่อท่วม) รู้สึกกลิ่นโชยชวนขยาด
ReplyDelete555+
Deleteเข้าใจความรู้สึกของพวกเพื่อนผู้ชายที่ชอบโม้เรื่องเขาชนไก่ให้ฟังเลยล่ะ
อยากไปมั่งจังเลยครับ ดูสนุกดี แถมประหยัดด้วย....คุณป้อมเก่ง ปั่นๆ แล้ววิ่งชิวๆ ยังได้ถ้วยอีก
ReplyDeleteสิ่งที่เราไม่บอกท่านผู้อ่านก็คือ...ท่าทางจะมีคนรุ่นนี้มาแข่งทั้งหมด 5 คนอะค่ะ อิอิอิ
Deleteบรรยากาศตู้นั่งพัดลมเป็นไงบ้างครับ ของผมเคยเจอตู้นั่งแอร์สายอิสานไปเที่ยวนึง ขึ้นมาหลายปีแล้วเข็ดมาจนทุกวันนี้ เพราะเค้าเล่นเปิดแอร์ยังกับขั้วโลกเหนือ ผมใส่แจคเก็ตกับตัว ห่มผ้าที่แจกมาอีก 3 ผืนซ้อน ยังนั่งสั่นสะท้านนอนไม่ได้เลยครับ
ReplyDeleteตู้รถไฟเย็นสบายกำลังดีค่ะ
Deleteและใช่เลยค่ะ..สมัยเด็กๆเคยขึ้น sprinter ตู้แอร์กลับขอนแก่นเหมือนกัน
ทุกครั้งต้องประโคมเสื้อหนาวและผ้าห่มของรถไฟ(ซึ่งเป็นลักษณะผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาว)เต็มอัตราตลอด ไม่รู้จะเปิดแอร์หนาวไปไหน ตรูยังไม่เน่าาาาา
แก้บรรทัดแรกเป็นตู้พัดลม ^ ^"
Deleteอ่านเพลินเหมือนเดิม พอมีรถพับ ป้อมก็พาไปเที่ยวไกลขึ้น ได้อ่านอะไรมากขึ้นอีก ขอบใจจ้า ^^ (... แต่พวกที่รู้จักหลายคนนี่แปลกนะ วิ่งที่ไหนๆ ก็ได้ถ้วย)
ReplyDeleteเพิ่งมาเจอเม้นต์พี่สมาร์ท ตอบช้าไป 1 ปี 5555+
Deleteขอบคุณนะคะที่เข้ามาเม้นต์
ปิดเทอมคงได้พาเพนกวิ้นขึ้นรถไฟไปเที่ยวอีกครั้ง
แล้วจะเขียนมาให้อ่านกันใหม่
ส่วนถ้วยนี่...ยากแล้วมั้ง แต่ก็ยังอยากได้อยู่แหละค่ะ ^__^