กาปฏิทินสำหรับงานนี้ไว้นานแล้ว เพราะเป็นการวิ่งเพื่อฉลองครบรอบ 1 ปีที่ได้เจอกันของกลุ่มเพื่อนนักวิ่งจาก endomondo ชาวแก๊งซึ่ง ณ บัดนี้ซ้อมด้วยกันทุกวันเสาร์ ทำงานให้ชมรมด้วยกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทอีกกลุ่มหนึ่งของชีวิต ขอบคุณการวิ่งที่ทำให้ได้มาพบเพื่อน(และพี่)ดีๆ มา ณ ที่นี้
ช่วงเวลา 2 อาทิตย์ก่อนแข่งเราได้ซ้อมเพียง 3 ครั้งเท่านั้นเพราะงานยุ่งมาก แต่ผลการแข่งขันที่พัทยาและความศรัทธาในโค้ชมันทำให้เราแบบ...ไม่ซ้อม...แต่กล้าฮึกเหิม 555+
หลังจากหนังรัก 7 ปีดี 7 หนออกฉายครั้งแรกวันที่ 26 กรกฎาคม งานนี้ก็ออกมารับกระแสพอดี ผลคือคนสมัครเต็มจำนวนทุกระยะ ทั้งหมดประมาณ 6 พันคน!! น่าเสียดายที่ ADIDAS ไม่สามารถใช้โอกาสนี้สร้างความประทับใจแรกให้กับนักวิ่งที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับโลกใบใหม่ที่ไม่มีใครอยากเดินใบนี้ได้ เพราะปีนี้เกิดเปลี่ยนใจใช้ organizer ที่ไม่เคยจัดงานวิ่งมาก่อน(จัดแต่งานประเภทอื่น) ทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากมาย ที่ไม่บ่นไม่ได้คือ น้ำขาด ระยะทาง 16.3 กม. เราได้ดื่มน้ำแบบปกติเพียง 2 จุดเท่านั้น อีกหนึ่งจุดหลังกลับตัวไม่มีแก้ว ให้นักวิ่งที่มั่นใจในภูมิต้านทานไวรัสยกเหยือกซดเอาเอง(เราเป็นหนึ่งในนั้น) ส่วนจุดที่เหลือมีแต่โต๊ะเปล่าๆ โชคดีที่ปล่อยตัวเช้ากว่างานทั่วไป อากาศยังเย็นทำให้ไม่กระหายน้ำมากนัก
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เช่นกัน นั่นคือเส้นทางวิ่งดีมาก ปิดถนนและสะพานสาทรครึ่งหนึ่งให้วิ่งแบบสบายๆ จุดที่ต้องข้ามแยกก็กักรถได้ดี ไม่ต้องรอไฟแดงแบบงานปีที่แล้ว บวกกับพื้นถนนที่ดี ภูมิประเทศที่ส่วนมากเป็นทางราบ มีสะพานที่ไม่ชันมาก เราจึงทำความเร็วได้อย่างน่าพอใจใน 12 กม.แรก...แล้วทำไมจึงไม่พอใจทั้ง 16 กม.ล่ะ ?...เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...
สิ่งที่เกิดขึ้นในงานนี้เหมือน dejavu ของพัทยามาราธอนเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ตั้งแต่เกาะหลังน้องเอ็มฝ่าคนไปอยู่แถวหน้าๆ (ยืนข้างเคนย่าเลยครั้งนี้ แทบตาย 555+) วิ่งแบบแม่พระ จดจ่ออยู่กับแผนและนาฬิกาเท่านั้น แต่ครั้งนี้ตั้ง pace ของ virtual partner ไว้ที่ 5:40 เพราะเป็นทางราบและวิ่งเพียง 16 กม. ซึ่งเราก็วิ่งได้จริงๆ และดีกว่านั้นด้วย แต่ขณะกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่นั่นเอง ข้าศึกคนเดียวกับพัทยาก็มาทักทายในกม.ที่ 12 ...แง้...เค้ากะลังวิ่งดีๆ ช่วยไปที่ชอบๆก่อนได้ม้ายยยย เราคิดในใจ... แต่อนิจจา ไล่เ่ท่าไหร่ก็ไม่ไป ทั้งๆที่แรงยังเหลือแต่เรากลับต้องวิ่งช้าลงๆเพราะเร่งเมื่อไหร่ขนลุกเมื่อนั้น...ครั้งนี้มันเอาจริง!! ภาพนักวิ่งฝรั่งชาย หน้าตาบูดเบี้ยว ขาเปื้อนสสารสีเหลืองทองที่โด่งดังในเว็บบอร์ดของนักวิ่ง เข้ามาหลอกหลอนเป็นระยะ (ไม่ลงให้ดูนะคะ สงสารเค้า) ในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่า ยังไม่อยากดังตอนนี้และแบบนี้ กัดฟันวิ่งจนเลี้ยวเข้าสวนลุมและกระโจนเข้าห้องน้ำแห่งแรกที่พบอย่างไม่อายคนที่วิ่งตามหลัง แม้จะเหลือระยะเพียงไม่เกิน 2 กม. ก็ตาม T_T
กลับมาปฏิบัติภารกิจนักวิ่งจนสำเร็จแบบเซ็งๆ จบด้วยความเร็วเฉลี่ย 5:46 ในขณะที่ความเร็วเฉลี่ยก่อนกระโจนเข้าห้องน้ำอยู่ที่ 5:30... เสียดายเป็นที่สุด เพราะมั่นใจว่าอีก 2 กม.ที่เหลือ หากไม่มีเหตุสุดวิสัยเราสามารถประคองความเร็วนี้ต่อไปจนเข้าเส้นชัยได้แน่นอน
เหตุการณ์ข้าศึกประชิดหัวเมือง 2 ครั้งติดกัน ทำให้เราต้องขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆพี่ๆ จึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องที่ใครๆก็เคยเจอ แต่การได้มาเป็นนักวิ่งทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนมาดูแลรายละเอียดของการกินการอยู่ให้มากขึ้น เหมือนกับที่บางคนเลิกสูบบุหรี่เพราะอยากใช้ศักยภาพของปอดให้เต็มที่ บางคนเลิกเล่นเกมส์ออนไลน์ดึกๆดื่นๆเพราะอยากตื่นเช้ามาวิ่ง...นี่แหละพลานุภาพแห่งการวิ่ง ใครอยากอ่านเคล็ดลับและความเห็นเพิ่มเติม ไปดูกันได้ที่ เรื่องวิ่งเรืองกล้วย นะคะ
ขอบ่นปิดท้าย ว่าด้วยเรื่องประมวลผลการแข่งขันที่แสนอินดี้ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครอยากเหมือน เพราะจัดทำเป็น pdf file ไม่มีการแยก category ใดๆ ต้องนับเอาเองว่าตัวเองอยู่อันดับที่เท่าไหร่ของกลุ่มอายุ ข้าพเจ้าขี้เกียจนับ จึงทราบแต่เพียงว่า เป็นอันดับ 49 จากหญิงไทยทั้งหมด 199 คนที่เข้าเส้นชัย
http://203.146.102.21/adidas_kotr_result/thai_female_overall.pdf15K = 1h:26m:30s
race 30: ตรีมิตรมินิมาราธอน
อาการซ้อมน้อย แต่ฮึกเหิม ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง คราวนี้ฮึกเหิมจัดถึงขนาดอยากลองของในระยะหินของตัวเองคือ 10K ดูบ้าง เนื่องจากไม่ได้ลงระยะนี้มาเกือบ 2 เดือนแล้ว หวังไว้ลึกๆว่าจะสามารถทำลายสถิติ 10K ที่เก่าจนเป็นฟอสซิลนี้ลงได้
ด้วยความตื่นเต้น และไม่ได้ดองตัวเองให้ง่วงสุดๆไว้ตั้งแต่วันศุกร์ ทำให้คืนวันเสาร์นอนไม่หลับ ซ้ำร้ายคืนนั้น แก้ว พงษ์ประยูร ชิงเหรียญทองโอลิมปิกอีก สรุป ข้าพเจ้าดูมวยจนจบ ก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปวิ่งโดยที่ไม่ได้นอนทั้งคืน T_T
งานนี้เป็นการแข่งขันครั้งแรกที่ได้รู้จักรสชาติของการถูกลาก ก่อนหน้านี้ที่พัทยาเคยวิ่งคู่ไปกับพี่ต่อ สวนชมน่านและน้องแมน 1144 เป็นระยะ (นักวิ่งนี่ดูๆไปก็เหมือนตลกคาเฟ่เนอะ คนรู้จักแต่ชื่อเล่น กับสังกัด จะรู้จักชื่อจริงก็เฉพาะพวกแนวหน้าที่ถูกประกาศชื่อตอนขึ้นรับถ้วยบ่อยๆเท่านั้น) แต่นั่นก็เป็นเพียงการวิ่งเป็นเพื่อน ไม่ได้มีจุดประสงค์จะลากกันและกันแต่อย่างใด ครั้งนี้โค้ชแอบสั่งน้องเอ็ม น้องในชมรม ให้มาปฏิบัติภารกิจลากเราโดยเฉพาะ เราเพิ่งรู้ก็เมื่อวิ่งออกไปได้เกือบ 1 กม.แล้วเจอน้องดักรออยู่ แม้ไม่ทันได้เตรียมใจ แต่ก็รีบบอกน้องถึงเป้าหมายส่วนตัวว่า อยากวิ่งให้ได้ประมาณ 5:10-5:20 แอบคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้เพราะแค่ความเร็ว tempo ในขณะนี้ก็น่าจะประมาณ 5:30-5:40 แล้ว
แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ ในขณะที่ยังไม่ถึงจุดให้น้ำจุดแรกเลย (นั่นแปลว่ายังไม่ถึง 2.5 กม.แ่น่นอน) การหายใจเริ่มเปลี่ยนจากหอบเบาๆในโซน 4 เป็นหอบแฮ่กๆไปเสียแล้ว เสียงหายใจดังจนพี่ผู้หญิงคนนึงที่วิ่งแซงไปต้องหันมาบอกว่าสู้ๆ เราชะลอความเร็วลง แต่ความเหนื่อยระดับโซน 4 ปริ่ม 5 ยังไม่หาย น้องเอ็มแนะนำให้สูดลมเข้าปอดลึกๆ เพื่อรีเซ็ตระบบหายใจใหม่ แต่เราทำไม่ได้ ก็ในเมื่อขามันสับไวอยู่แบบนี้จะเอาจังหวะที่ไหนไปหายใจลึกๆได้แว้ จะให้ชะลอไปมากกว่านี้ก็ไม่อยากทำ ขอหอบไปแบบนี้แหละ ไม่ตายหรอกมั้ง ลองดูซักตั้งเป็นไร
แล้วเราก็อ้าปากหอบเป็นปลาทองฮุบซากุระไปตลอดทาง โดยมีน้องเอ็มคอยให้กำลังใจ ปลุกใจอยู่ข้างๆ จนเราฮึกเหิมแบบปลาทองๆ กม.ที่ 7 อาการตะคริวเริ่มมาทักทายที่ฝ่าเท้าซ้าย(ที่ประจำ) เราบอกน้องถึงปัญหานี้ และได้รับคำแนะนำให้ผ่อนความเร็วลงแต่อย่าหยุด เอ้า! ไม่หยุดก็ได้แว้ เราผ่อนความเร็วเหลือ 5 ปลายๆ วิ่งมันทั้งตะคริวอย่างงี้แหละ ดูซิว่าใครจะไปก่อน... ในที่สุดก็เป็นเราที่อึดกว่า ว่ะฮ่ะฮ่า แต่ดีใจได้ไม่นานมันก็กลับมาใหม่ คราวนี้เลื่อนมาเกาะน่องแทน(ขวาหรือซ้ายก็ลืมแล้ว นานจัด)...ไอ้หยา ตรงนี้ไม่เคยเป็นอ้ะ วิ่งไม่ออกเลย น่องตึงเปรี๊ยะ ด้วยความเกรงใจน้องเอ็มที่ต้องมาลากตู้พ่วงกระดูกยุง เราเลยฝืนสังขารวิ่งต่อ ความเร็วตกลงไปอีกเหลือ 6 ต้นๆ แต่จะด้วยพลังใจหรือเป็นเพราะนี่คือวิธีจัดการตะคริวที่ถูกทางก็ไม่ทราบได้ ไม่นานมันก็จากไป
หลังจากหมดวิกฤตตะคริวเราก็ได้แต่ประคองความเร็ว tempo มาเรื่อยๆ (แต่ความเหนื่่อยระดับปริ่มโซน 5 แย้ว) น้องเอ็มชวนเร่งก็เร่งไม่ขึ้น แค่นี้พี่ก็หอบหน้าเบี้ยว แทบเอาผิวหนังหายใจแล้วน้องเอ๊ย อันนี้คิดในใจ เพราะที่ความเหนื่อยระดับนั้น พูดอะไรไม่ออกจริงๆ ถ้าต้องพูดก็ออกแนวแค่นให้พ้นลำคอ (เล่าให้ฟังไว้ ณ ที่นี้เผื่อใครวิ่งกับคนเหนื่อย จะได้รู้ว่า เค้าไม่ล่ายตั้งใจตะคอกน้าาา มันเหนื่อยง่ะ งุงิ) อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านจุดที่พี่ๆช่างภาพยืนอยู่ ข้าพเจ้าก็ยังสามารถฝืนยิ้มชูมือหัวลากคนแรกในชีิวิตนักวิ่งได้ พ้นจากจุดนั้นเราก็เปิดก๊อกสุดท้าย เร่งเข้าเส้นชัยแบบไม่ให้เหลือติดถังแม้แต่หยดเดียว
เวลา 10K ดีขึ้นจากคราวที่แล้วเกือบ 1 นาทีครึ่ง แม้จะไม่ทำลายสถิติฟอสซิลอย่างที่หวังไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ชอบความรู้สึกนี้มากๆ ความรู้สึกที่เมื่อถึงเส้นชัย หายเหนื่อย แล้วนั่งทบทวนว่าในการวิ่งที่เพิ่งจบไป มีตรงไหนที่เราน่าจะใจสู้กว่านี้ เผื่อจะเร็วขึ้นมาอีกสักหน่อยก็ยังดี แล้วพบว่า...ไม่มีเลย
10K = 54m:02s
น้องเนยไม่ชอบวิ่งค่ะ
ReplyDeleteวิ่งแล้วเหยียบหญ้าตายหมด
ไม่รักโลกเลยค่ะ
ที่สุดแห่งปีของหนูมอบให้ สำหรับบทความชิ้นนี้ค่ะ
ReplyDeleteโดยเฉพาะย่อหน้าสุดท้าย :)
ม้วยซะแร้วเหรอ ฮี่ๆ
Deleteขอบใจมากจ้ะสำหรับคำชม
ถ้าเราเขียนจากความรู้สึกที่แท้จริง มันจะมีพลังเช่นนี้แล
ในหลายๆครั้ง พี่ก็รู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ในเรื่องที่น้องม้วนเขียนเช่นกัน