หลังจากกลับสู่ถนนสายนักสู้อีกครั้ง เชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง อะไรๆก็เริ่มดีขึ้น แม้ว่าเวลา 10K ยังกลับคืนฟอร์มไปสู่สถิติเดิมที่เคยทำไว้เมื่อครึ่งปีที่แล้วไม่ได้ แต่ก็มีพัฒนาการ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันทะ เมื่ออยากเก่งก็ทำให้ขยันซ้อม ขณะอยู่ในสนามแข่งก็พยายามทำเวลาให้ดีที่สุด ไม่ปล่อยให้ความคิดประเภท "ผ่อนหน่อยก็ได้ ไม่มีใครบังคับให้วิ่งเร็วซักหน่อย" หรือ "วิ่งยังไงก็ไม่ติดถ้วยอยู่แล้ว จะรีบไปทำไม" หรือ "วันนี้ขอวิ่งเร็วทำ new PB 5K พอ ที่เหลือชิวๆดีกว่า เหนื่อยวุ้ย" ที่มักแว้บเข้ามาในสมองเป็น infinite series มาทำให้ไขว้เขว
อีกประการที่ทำให้วิ่งได้ดีคือความคุ้นเคยกับสนามและการสำรวจเส้นทางก่อนแข่ง การที่ต้องวิ่งทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอะไรรออยู่ข้างหน้าอาจทำให้ท้อแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามที่มีการสับขาหลอก ให้วิ่งไปเกือบถึงเส้นชัยแต่แล้วกลับให้เลี้ยวหนีไปอีกทางแบบสนามกระทรวงสาธารณสุขนี้ คนที่คิดว่าใกล้ถึงแล้วก็จะใส่หมดแม้ก แต่พอรู้ความจริงว่าต้องวิ่งอีก 2 กม. อาจถอดใจหรือยางแตกไปแล้วก็ได้ นี่เป็นความสำคัญของการสำรวจเส้นทาง ซึ่งนักวิ่งประเภทที่ให้ความสำคัญกับสถิติพึงกระทำ ถ้าไปดูสถานที่จริงไม่ได้ก็ควรดูจากแผนที่ตามโบรชัวร์ หรือจะให้ดีกว่านั้นก็ดูจาก google map จะได้ปักหมุดแต่ละกิโลเมตรไว้ในใจล่วงหน้า และวางแผนวิ่งให้สอดคล้องกับพื้นที่
การวิ่งให้ดีเป็นเรื่องของรายละเอียด แนวหน้าท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ยิ่งวิ่งเก่ง ยิ่งต้องละเอียด" ถ้ามีโอกาสเหมาะๆจะขยายให้ฟังในภายภาคหน้าค่ะ
10K = 55m:30s
race 28: พัทยามาราธอน
เดือนมิถุนายนทั้งเดือนเราซ้อมตามตารางอย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้วยกำลังใจต่อเนื่องจากผลการแข่งขันคราวที่แล้ว และกำลังใจส่วนตัว แม้ว่าต้นเดือนกรกฎา 2 อาทิตย์ก่อนแข่ง เราจะมีอาการน่องตึงหลังจากซ้อมวิ่งยาว 20 กม. ทำให้อาทิตย์นั้นต้องหยุดวิ่งไป 3 วัน แต่เมื่อหาย และกลับมาวิ่งทดสอบ pace ที่จะใช้แข่ง(5:50 นาที/กม.) ดูสภาพ ดูความเหนื่อยแล้ว ยังเหลือ gap ก่อนถึง Tempo แน่ๆ รู้สึกมั่นใจอย่างบอกไม่ถูกว่าตูข้าทำความเร็วนี้ได้ตลอดรอดฝั่งแน่นอน ยิ่งได้มาส่งท้ายการซ้อมด้วย 200jog100 15 เที่ยว ที่ความเร็วไม่เกิน 60 วินาที ที่สมัยฝึก session นี้ใหม่ๆ แทบตายคาลู่ แต่มาวันนี้วิ่งเป็นขนม ยิ่งทำให้ฮึกเหิมสุดๆ ถึงกับประกาศตัวว่า "peak ของข้าพเจ้ากำลังมา ว่ะฮ่าๆๆๆ"
คืนก่อนแข่ง เนื่องจากไปค้างที่บ้านพี่เล็กกันทั้งก๊วนเกือบ 20 คน การเห็นเพื่อนๆพูดคุยกันเรื่องวันพรุ่งนี้ และการได้ทบทวนกลยุทธกับโค้ช ช่วยเพิ่มความฮึกเหิมและสร้างขวัญกำลังใจได้อย่างดียิ่ง นอกจากนี้พี่เล็กและครูนกยังได้เตรียมอาหารไว้ต้อนรับ ซึ่งเป็นอาหารที่เลือกแล้วว่าไม่ทำร้ายกระเพาะนักวิ่ง ที่หลับที่นอนก็แสนสบาย หลังจากอาบน้ำ แต่งชุดแข่งเตรียมไว้ (ใช่ค่ะ พอเช้า เราไม่อาบน้ำอีก แค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปเลย จะได้ไม่เสียเวลา 555+) ไม่เกิน 4 ทุ่มเราและเพื่อนๆชาวแก๊งก็หลับได้อย่างที่นักวิ่งที่ดีควรกระทำ ถือเป็นการวิ่งครั้งที่มีการเตรียมตัวดีมากๆครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องขอขอบคุณพี่เล็กครูนกและน้องบอมน้องอาร์ม ที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
เช้าวันแข่งพวกเราไปถึงสนามก่อนพอที่จะมีเวลาวอร์มอัพและยืดเหยียดได้เต็มที่ เมื่อเรียกเช็คอิน เราเกาะหลังน้องเอ็มที่อาศัยความล่ำพาแหวกผู้คนไปยืนอยู่หน้าๆ ไม่น่าเกินแถว 5 ตามที่โค้ชพร่ำบอกทุกครั้ง เพราะแม้จะมีชิพ ที่ในทางทฤษฎีทำให้ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่ในทางปฏิบัติ การยืนอยู่หลังๆ จะไม่สามาถทำความเร็วได้ในช่วงออกจากจุดสตาร์ทเพราะการจราจรติดขัด เนื่องจากคนที่อยู่หน้าเรามักเป็นนักวิ่งเพื่อสุขภาพ ไม่ได้ต้องการแข่งขันจึงวิ่งกันชิวๆ ต่างจากการยืนอยู่หน้าๆ ที่ทุกคนออกตัวอย่างแรงตามประสาแนวหน้า และถึงไม่ได้เป็นแนวหน้า (เช่นข้าพเจ้าเป็นอาทิ) แต่ก็ต้องออกตัวแรงเพราะกลัวโดนชนล้ม
ขณะรอปล่อยตัว ความตื่นเต้นพุ่งถึงขีดสุด ชอบจริงๆความรู้สึกแบบนี้ เราพยายามระงับสติอารมณ์ด้วยการหลับตาทบทวนแผนการวิ่ง ยกมือไหว้รำลึกถึงโค้ชอีกครั้งขณะพิธีกรนับถอยหลังเป็นภาษาอังกฤษ (ก็งานอินเตอร์นิ) ขนลุกซู่เหมือนได้รับการเป่ากระหม่อมจากเกจิอาจารย์
เราวิ่งตามแผน เช็คความเร็วตลอดเวลาเพื่อให้ใจจดจ่ออยู่กับแผน ไม่เตลิดไปกับการโดนแซงหรืออยากแซง แค่ให้แน่ใจว่าความเร็วเฉลี่ยขณะนี้ยังดีกว่าความเร็วเป้าหมายที่ตั้งให้ virtual partner เป็นพอ เรียกว่าครั้งนี้มาวิ่งแบบแม่พระ ถอดนางมารเก็บไว้บ้าน แข่งกับจิตใจตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าเส้นทางจะขึ้นเขายาวและชันที่กม.15-16 พอลงแล้วหลอกให้ตายใจซักพัก เพื่อจะพบว่าเมื่อเลี้ยวซ้ายปุ๊บก็ขึ้นเขาอีกที่กม. 17-18 แต่เรากลับไม่รู้สึกท้อแท้กับเส้นทางเลย
สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจคืออาการข้าศึกบุก มันปรากฏครั้งแรกประมาณกม. 14 คิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกแค่ 7 กม.เอ๊ง ทำลืมๆไปเดี๋ยวก็หาย ซึ่งก็หายจริงๆ แต่มันไม่ยอมรอให้ถึงเส้นชัย เพราะเมื่อถึงกม. 19 ที่เริ่มวิ่งเข้า walking street มันก็กลับมาใหม่ และทีนี้ทำท่าว่าจะเอาจริงด้วย ไม่ใช่แค่ขู่ จริงๆเป็นจังหวะที่ควรเร่งความเร็วได้แล้วเพราะเป็นทางราบ และอีกแค่ 2 กม.ก็เข้าเส้นชัย ลูกศิษย์ที่ดีควรอัดให้หมดถังเพื่อบูชาครู แต่ข้าพเจ้ามิสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเร่งทีก็ขนลุกที จำต้องประคองตัวเข้าเส้นชัยไปด้วย pace 5 ปลายๆอย่างสุดเซ็ง (แต่แน่นอน หน้าเส้นชัยยังไงก็ต้องเร่งเต็มเหนี่ยว เพราะเสียงเชียร์จากน้องเบสทะลุทะลวงอากาศด้วยความถี่สูง พาขาให้สับอย่างลืมตัวลืมตรูด)
อาการข้าศึกบุกครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอาหาร เพราะไม่มีใครในก๊วนเป็นอะไร คิดว่าคงมาจากอาการตื่นเต้นและไม่ได้เข้าห้องน้ำตอนเช้า (ซึ่งเป็นปกติของเรา ถ้าไม่ได้นอนบ้าน) ซึ่งอาการนี้ในภายภาคหน้าจะรบกวนข้าพเจ้าอีกครั้ง ดังจะได้เล่าให้ฟังต่อไปในภาค 2
อย่างไรก็ตามผลที่ออกมาดีกว่าที่ตั้งใจไว้ แม้จะไม่ได้ถ้วยอะไรกับเค้า แต่ก็เป็น new personal record ของตัวเอง ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับการเดินบนถนนสายนักสู้เส้นนี้มากยิ่งขึ้น
20K = 1h:55m:27s yeah!!
place cat 9/40
เท่ห์มากครับ :-)
ReplyDeleteขอบคุณค่า
Deleteดีใจจัง เล่าเรื่องข้าศึกบุกยังมีคนชมว่าเท่ อิอิ
เราวิ่งงานเดียวกันมาตั้งหลายครั้ง
ReplyDeleteจนหนูนึกเสียดายที่ได้เจอพี่ช้าไปจริงๆ
ไม่น่าแอบอยู่ในมุมมืดนานขนาดนี้เลยอ่ะค่ะ
ถ้าคอมเมนท์แบบนี้ได้ซะตั้งแต่แรกนะ ...แง้วๆๆๆ
ไม่เป็นไร ไม่ช้าๆ เพราะเราจะวิ่งกันไปตลอดชีวี้ดดดดด
Delete