วิ่งทันโลก 21: วิ่งฟรุ้งฟริ้งก็อายุยืนได้ | No comments:

คอลัมน์วิ่งทันโลก
Thai Jogging Magazine ฉบับประจำเดือนมีนาคม 2558
โดย oorrunningblog

ฉบับที่แล้ววิ่งทันโลกได้พูดถึง ที่สุดแห่งปี 2014 ของวงการวิ่งมาราธอน ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสาร Runner’s World อันที่จริงเค้าจัดอันดับไว้หลายสาขาแต่เราเอามาเล่าเพียงบางส่วนเท่านั้น ในฉบับเดือนมีนาคมนี้จึงได้เลือกอีกหนึ่งสาขาที่น่าสนใจมาขยายความให้อ่านกันค่ะ ซึ่งก็คือ งานวิจัยแห่งปี 2014 นั่นเอง

งานชิ้นนี้มีชื่อว่า Leisure-Time Running Reduces All-Cause and Cardiovascular Mortality Risk หรือแปลเป็นไทยแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า วิ่งฟรุ้งฟริ้งก็อายุยืนได้ สรุปใจความคือ

การวิ่งเพียงวันละ 5-10 นาที ช้าๆ สามารถลดความเสี่ยงต่อการตายก่อนวัยอันควรจากทุกสาเหตุ และการตายจากโรคหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ

ที่งานชิ้นนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง เป็นเพราะใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ ติดตามผลยาวนาน และข้อสรุปที่ได้ ยังเปลี่ยนความเข้าใจของคนทั่วไปที่เคยคิดว่า ถ้าจะให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ต้องออกกำลังกายครั้งละนานๆ เป็นครึ่งค่อนชั่วโมงอีกด้วย เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เรามาดูรายละเอียดกันค่ะ

วิธีวิจัยคือ ติดตามผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 44 ปี จำนวน 55,317 คนที่เข้าร่วมโครงการ เป็นเวลาเฉลี่ยคนละ 15 ปี เพื่อดูว่าคนเหล่านี้ออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือไม่ แล้ววิ่งเฉลี่ยสัปดาห์ละกี่นาที กี่ครั้ง ระยะทางรวมต่อสัปดาห์เป็นเท่าไหร่ ค่าเฉลี่ยของความเหนื่อย (มีหน่วยเป็น MET ต่อนาที-อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากวิ่งทันโลกฉบับเดือนสิงหาคม 2556) และความเร็วเฉลี่ยเป็นเท่าไหร่

ตลอดช่วงเวลาที่ทำการวิจัย พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยทุกสาเหตุรวมกัน 3,413 คน โดยคนที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่งตายไป 4.3% (แปลว่าถ้ามีนักวิ่ง 1,000 คน จะตายไปทั้งหมด 43 คน) ส่วนผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ตายไป 6.8% (แปลว่าในบรรดาคนที่ไม่วิ่ง 1,000 คน จะตายไปทั้งหมด 68 คน) นำสองค่านี้มาเปรียบเทียบกันจึงสรุปได้ว่า นักวิ่งมีความเสี่ยงต่อการตายก่อนวัยอันควรในทุกสาเหตุ น้อยกว่าคนไม่วิ่ง 30%

ดูเผินๆ เหมือนตัวเลขที่เป็นเปอร์เซ็นต์จะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดตามหลักสถิติแล้ว จะพบว่าเหตุการณ์นี้มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ

ในทำนองเดียวกัน เมื่อเลือกพิจารณาเฉพาะการตายที่เกิดจากโรคหัวใจ พบว่านักวิ่งมีความเสี่ยงต่อการตายด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่วิ่งถึง 45% เลยทีเดียว นั่นแปลว่า การวิ่งมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในด้านนี้

แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างแท้จริงคือ ปริมาณการวิ่ง แทบไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างในแง่ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเลย แปลไทยเป็นไทยได้ว่า ขอแค่วิ่งเท่านั้น จะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร

จากกราฟ นักวิจัยแบ่งข้อมูลแต่ละอย่างของการวิ่งออกเป็น 5 ส่วนเรียงจากน้อยไปมากตามแนวแกน x และกราฟแต่ละเส้นแทนข้อมูลแต่ละอย่าง เมื่อพิจารณากราฟของเวลาต่อสัปดาห์ (กราฟสีเหลือง) จะเห็นว่าคนที่วิ่งน้อยกว่า 51 นาทีต่อสัปดาห์ (ตีซะว่า 5 นาทีต่อวัน) ก็มีความเสี่ยงต่อการตายพอๆ กับคนที่วิ่งมากกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์ ในขณะที่กราฟอื่นๆ เช่นความเร็วเฉลี่ยของการวิ่งก็มีแนวโน้มเดียวกัน จึงนำมาซึ่งข้อสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ ตามที่กล่าวไว้ในตอนแรก

ข้อสรุปนี้น่าจะทำให้คนที่ชอบบอกว่า ไม่มีเวลา เริ่มต้นออกมาวิ่งกันมากขึ้น เพราะใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาทีเท่านั้น และในความเป็นจริง ถ้าลงได้ก้าวเท้าออกไปวิ่งแล้วคงไม่มีใครหยุดแค่ 5 นาทีเป็นแน่ ดูแต่ไบรอัน เฟลมมิง ที่วิ่งทันโลกเคยเอาเรื่องของเขามาเล่าในฉบับเดือนพฤศจิกายน 2557 สิคะ ^ ^

พูดได้อย่างเต็มปากว่างานวิจัยชิ้นนี้ ได้สร้างองค์ความรู้ที่จะชักชวนให้คนทั่วไปเริ่มก้าวเข้ามาสู่โลกของนักวิ่งอย่างแท้จริง คู่ควรแล้วต่อการเป็นงานวิจัยแห่งปี 2014 ของวงการวิ่งมาราธอน

หมายเหตุ
งานวิจัยนี้ กลุ่มตัวอย่างไม่ครอบคลุมคนที่เป็นโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจนะคะ หมายความว่า

คนที่เป็นโรคประจำตัว ถ้าอยากมีอายุยืนต้องออกกำลังกายตามคำแนะนำของ American Heart Association นั่นคือ มากกว่าหรือเท่ากับ 150 นาที/สัปดาห์ จะมาเนียนฟรุ้งฟริ้งแบบคนไม่มีโรคไม่ได้นะคะ ^ ^

ขอบคุณน้องหมอเฟิร์น คุณหมอนักวิ่งมาราธอนผู้น่ารักด้วยค่ะ

ที่มา
The Year in Running: 2014

Is 5 Minutes of Exercise Really Enough?
Leisure-Time Running Reduces All-Cause and Cardiovascular Mortality Risk

========================================

อ่านนิตยสาร Thai Jogging Magazine ฉบับเดือนมีนาคมแบบออนไลน์

วารสาร Thai jogging เป็นวารสารของสมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย พิมพ์เผยแพร่มาตั้งแต่ปี พศ.2545 เฉพาะสมาชิก สถาบันการศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้สนใจ สนใจสมัครเป็นสมาชิก ติดต่อได้ที่สำนักงานสมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย โทรศัพท์ 0-2455-9149 ค่าจัดส่งวารสารทางไปรษณีย์ปีละ 300บาท (12ฉบับ)

Tweet