Friday, October 5, 2012

SIGNS | 16 comments:

เคยดูหนังของพี่มาโนชเรื่อง signs กันมั้ยคะ หนังที่หลายคนเซ็งเพราะนึกว่าเป็นเรื่องของเอเลี่ยนบุกโลกแบบ ID4 อีกหลายคนเซ็งเพราะคิดว่าจะหักมุมแบบ The Sixth Sense... ไม่ค่ะ มันเป็นหนังสร้างแรงบันดาลใจที่ห่มทับด้วยหน้าหนังลึกลับสยองขวัญ เป็นหนึ่งในทำเนียบหนังในดวงใจตลอดกาลของเราเลยทีเดียว


ความบังเอิญมีจริงหรือในโลกนี้ โดยเฉพาะสิ่งที่เราเรียกว่า"โชค"... ใช่หรือไม่ ว่ามันคือผลผลิตของทุกการกระทำและทุกความคิดทั้งในอดีตและปัจจุบันของเราบวกกับการเตรียมตัวให้คู่ควรที่จะได้รับโชคนั้น
..........................



หลายปีก่อน ขณะที่เรากำลังคร่ำเคร่งทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ไปห้องแล็บ 8 โมงเช้า กลับหอ 4-5 ทุ่ม อาทิตย์ละ 7 วัน ติดปัญหาเรื่องเทคนิคที่จะนำมาใช้กับงานวิจัย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ไม่มีใครให้ปรึกษา (แม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษา 555+) เรานึกถึงเหตุการณ์สมัยเรียนปริญญาตรี (จากที่เดียวกันนี้) ที่ตกเย็นจะเห็นเพื่อนหลายคนออกมาวิ่งรอบตึกคณะ ถามได้ความว่า...วิ่งแก้บน เป็นการบนขอให้จบภายใน 4 ปีบ้าง ขอให้ผ่านวิชาที่เคยติด F มาแล้วรอบนึงบ้าง โดยธรรมเนียมคือต้องวิ่งไปก่อนแม้จะยังไม่รู้ผลว่าได้ดังประสงค์หรือไม่ ... อย่ากระนั้นเลย ในวันที่ชีวิตต้องการที่พึ่งทางใจอย่างแรงเช่นนี้ เราจึงขอตามรอยเพื่อนเก่าบ้างด้วยการบนวิ่งรอบตึกคณะ 99 รอบ โดยขอวิ่งเก็บรอบไปเรื่อยๆ ให้ครบก่อนจบเป็นพอ

ระยะทางรอบตึกคณะ, ตึก 81

ตัวเลข 99 มาจากไหนก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่าในวันนั้นมันดููเยอะมาก ควรคู่กับการใช้บนขอจบป.โทแน่นอน เพราะสมัยประชุมเชียร์ วิ่งตามพี่ว้ากแค่ 2 รอบก็เหนื่อยแทบขาดใจแ้ล้ว  นับจากนั้น เมื่อถึงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น เราก็ตัดงานออกจากสมอง วางมันไว้ก่อนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าไปวิ่ง (เรียกว่าจ็อคสปีดอากงดีกว่า) เนื่องจากไม่ได้รีบร้อนเพราะเหลือเวลาอีกหลายเดือน เราจึงวิ่งเก็บรอบวันละนิดละหน่อยส่วนมากจะ 4  เต็มที่ก็ 6 รอบ ไม่รู้หรอกว่าระยะเป็นเท่าไหร่ สมัยนั้นยังไม่มี google map แต่ในตอนนั้นรู้สึกว่าชั้นวิ่งเยอะมาก  555+

เนื่องจากวิ่งอาทิตย์ละแค่ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 20-25 นาทีเท่านั้น แถมยังวิ่งช้าระดับที่เร็วกว่าเดินนิดเดียว ผลเรื่องความแข็งแรงจึงไม่ปรากฏชัดเท่าไหร่ แต่สิ่งที่สังเกตได้คือ หลังวิ่งเสร็จ ล้างหน้าล้างตาหาข้าวกินแล้วกลับมานั่งทำงานต่อ มันรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งมาก หัวสมองก็แ่ล่น ปัญหาอะไรที่เคยติดก็คิดออก เวลาเพียงไม่เกินครึ่งชั่วโมงที่สละให้การวิ่ง ทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานอีก 3 ชั่วโมงหลังจากนั้น ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจริงๆ ในที่สุดปัญหาของเราก็คลี่คลาย มันไม่ได้...ปิ๊ง!! เงื่อนหลุดผลัวะ...ไม่ใช่อะไรแบบนั้น... แต่มันเป็นผลมาจากความเพียร เหมือนการค่อยๆเก็บรอบตอนวิ่งแก้บน เหมือนการค่อยๆแกะเชือกขยุ้มหนึ่งที่ประกอบไปด้วยปมอันแสนยุ่งเหยิงเป็นสิบๆปม ซึ่งแต่ละปมต้องอาศัยปัญญาส่องดูเหลี่ยมว่าจะแกะยังไง ถ้าเรามีปัญญาและมีความเพียรมากพอ ในที่สุดปมสุดท้ายก็จะถูกคลี่ออก ขยุ้มที่เราคิดว่าใหญ่เหลือเกินเมื่อแรกเห็น มาวันนี้ก็มลายเป็นอากาศธาตุไปเสียแล้ว

เราวิ่งจนครบและเรียนจบด้วยผลงานที่ดี แม้ไม่ได้วิ่งต่อหลังจากเริ่มทำงานเพราะไม่พิศวาสการออกกำลังกายใดๆ แต่ก็เก็บกุศโลบายแห่งการวิ่งแก้บนที่ได้ค้นพบนี้ไว้ในใจ
....................................

ใครเคยดูหนังฝรั่งแล้วคิดแบบเราบ้าง ทำไมนางเอกในหนังฝรั่งถึงแข็งแรงกันทุกคน ไม่ว่าเธอจะสวมอาชีพอะไรอยู่ พอมีเหตุการณ์ที่ต้องสู้กับผู้ร้าย เธอก็จะใช้แขนอันฟิตเฟิร์มด้วยกล้ามขนาดพองาม คว้าอาวุธอะไรซักอย่างแพ่นกบาลผู้ร้ายได้ หรือถ้ามีบทต้องวิ่งหนี เธอก็มักจะวิ่งฉิว รอดไปถึงที่ชุมชนหรือหาที่ซ่อนตัวอย่างฉลาดๆได้แบบให้คนดูลุ้นพองาม ไม่เคยเห็นนางเอกหนังฝรั่งวิ่งเหยาะๆแหยะๆ แล้วก็สะดุดล้มเท้าแพลงให้พระเอกต้องอุ้มแบบหนังไทยหรือแบกขึ้นหลังแบบหนังเกาหลีเลย ...ผู้หญิงไทยมันป้อแป้นักหรือไงแว้ เคืองๆๆ

 

แต่คิดไปคิดมา...ถ้าเป็นตรูที่ต้องวิ่งหนีผู้ร้ายบ้างล่ะ...เอ่อ...หญิงไทยผู้นี้ (ในขณะนั้น) แม้จะไม่ซุ่มซ่ามสะดุดอะไรหกล้ม แต่ก็คงวิ่งได้ซักพักด้วยพลังอะดรีนาลีน จากนั้นหล่อนก็คงหมดแรงโดนผู้ร้ายตามทัน ในที่สุดก็ต้องเป็นภาระให้พระเอกตามมาช่วยอยู่ดี

หนังที่ทำให้เราครุ่นคิดเรื่องอยากแข็งแรง ประเภทหักคอหมีด้วยมือเปล่า และอยากวิ่งเก่งๆ อึดๆ ขึ้นมาจริงๆอย่างยากจะลบออกจากสมองคือซีรี่ส์เรื่อง LOST เรื่องของคนโชคร้ายกลุ่มหนึ่งที่แม้จะอุตส่าห์รอดชีวิตจากเครื่องบินตกแล้ว แต่ก็ยังซวยซ้ำซ้อน เนื่องจากเครื่องบินดันมาตกบนเกาะที่ไม่อยู่ในแผนที่โลก ต้องสู้ชีวิตกันเอาเอง หนำซ้ำวันดีคืนดียังต้องวิ่งหนีควันประหลาดที่เรียกว่า smoke monster ที่ออกมาไล่ฆ่าคนอีก

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรตัวเอกของเรื่องได้ ทั้งนางเอกที่มีทักษะการเอาตัวรอดสูงอย่างกับเพิ่งชนะเลิศเรียลลิตี้ Survivor มาหมาดๆ หมอหนุ่มที่ไม่ได้กล้องแกล้ง ซีดเซียว แต่เป็นหมอเวอร์ชั่นกล้ามโต ชกต่อยกับชาวบ้านอยู่เป็นเนืองนิจ สิบแปดมงกุฏหนีคดีที่ไม่ได้ผอมกะหร่องแบบขี้ยา แต่เป็นหนุ่มล่ำแสนเท่ (ชอบอ่านหนังสือด้วยเอ้า) คุณลุงพนักงานบริษัทที่ไม่ใช่ชายแก่ลงพุง แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้ชีวิตในป่า การล่าสัตว์ การใช้มีด โอ้ว...เที่ยวบินนี้ทำไมช่างรวมเอาคนมี potential สูงส่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ (จริงๆมีเหตุผล แต่ไม่สปอยล์ดีกว่า)


ย้อนกลับมาดูตัวเอง ถ้าเกิดเราเป็นหนึ่งในผู้โดยสารเที่ยวบินนี้ล่ะ อันดับแรก เราอาจจมน้ำตายตั้งแต่เครื่องบินตกทะเลแล้ว เพราะแม้จะว่ายน้ำได้แต่ก็ไม่แข็ง เหนื่อยง่ายเนื่องจากไม่ชอบออกกำลังกาย และถ้าเผื่อฟลุครอดมา เราก็คงเป็นทรัพยากรบุคคลที่ไม่มีกลุ่มไหนอยากได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ล่าสัตว์ หาปลา ก่อไฟ แยกเห็ดพิษกับเห็ดกินได้ เอาแค่หาผลไม้ หาเผือกหามันก็ยังทำไม่เป็น เพราะไม่เคยรู้ว่าไอ้ลูกไม้ที่กินๆอยู่นั้น แม่มันหน้าตาเป็นยังไง คงเป็นได้แค่ตัวแถม แบกหิน แบกฟืนไปตามประสา และที่มั่นใจมากก็คือภายในเวลาไม่เกิน 1 season คงซี้แหงแก๋เนื่องจากโดน smoke monster ลากลงหลุม โทษฐานวิ่งหนีไม่ทันชาวบ้านแน่นอน

คิดแล้วก็ให้ทอดอาลัยในตัวเองยิ่งนัก
...................................

ย้อนกลับไป 2 ปี 2 เดือน เมื่อเราเริ่มรู้สึกเนือยๆ เบื่อๆกับการทำวิจัยป.เอก อยากจะเลิกซะให้รู้แล้วรู้รอด... ทั้งๆที่ไม่เคยชอบ เราเริ่มหาหนังสือประเภทสร้างแรงบันดาลใจมาอ่านเพราะเคยเห็นลูกศิษย์คนนึง ที่เราชื่นชมเป็นการส่วนตัว พกหนังสือประเภทนี้ติดตัวอยู่เสมอ...เออเว้ย...เด็กยังอ่าน เราเป็นครูลองอ่านดูบ้างจะเป็นไร อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเรื่องที่เด็กๆสนใจ เก็บไปโม้ในห้องเรียนได้ฟระ แล้วในเมื่อหนังสือเล่มนี้เป็นระดับ best seller และโด่งดังมานาน ในที่สุดเราจึงได้พบกัน

หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ, เริ่มต้นวิ่ง

เปล่าค่ะ...เราไม่ได้อ่านจนจบแล้วเกิดแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวง อยากปฏิวัติชีวิต แล้วปลุกยักษ์ตนที่เป็นนักวิ่งมาราธอนซึ่งหลับไหลในตัวเรามาแสนนานให้ตื่นขึ้น แล้วพาเราออกวิ่ง... มันเรียบง่ายกว่านั้นมาก

หนังสือบทแรกๆบอกขั้นตอนเบื้องต้นก่อนเริ่มวันทำงานว่า "ให้ออกกำลังกายแบบใดก็ได้แต่ให้วอร์มอัพและคูลดาวน์ด้วยการเดิน" (เพราะมีกระบวนการอื่นให้ทำไปด้วยขณะเดิน)... เราไม่ลังเลที่จะเลือกออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เพราะทำคนเดียวได้ และเรารู้ความเชื่อมโยงระหว่างประสิทธิภาพการทำงานกับการวิ่งมาก่อน จากประสบการณ์วิ่งแก้บนเมื่อครั้งกระโน้น

เราปฏิญานตน ทำตามขั้นตอนที่อธิบายไว้ในหนังสืออย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอในทุกเช้าของวันทำงาน เริ่มตั้งแต่เดินวอร์มอัพ ระหว่างนั้นก็เอานิ้วโป้งแตะนิ้วที่เหลือไปทีละนิ้วจนครบ ให้รู้สึกถึงพลังแห่งการควบคุมชีวิต จากนั้นจึงเริ่มวิ่งอย่างน้อย 20 นาที เมื่อวิ่งเสร็จก็ให้คูลดาวน์ ระหว่างนั้นก็นึกถึงความดีของคนที่อยู่รอบตัวและขอบคุณพวกเขาให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็จินตนาการว่าตอนนี้เราเป็นคนในแบบที่เราอยากเป็นแล้ว จบด้วยการซึมซาบความรู้สึกอิ่มเอมนั้น

สาระไม่ได้อยู่ตรงพิธีกรรมแปลกๆที่ทำตอนวอร์มอัพคูลดาวน์ที่เพิ่งบรรยายไปในย่อหน้าที่แล้ว แต่อยู่ตรงที่...อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนคนหนึ่ง"ต้อง"วิ่งอาทิตย์ละ 5 วันเป็นอย่างต่ำ...เราแข็งแรงขึ้น อึดขึ้น ความอยากแข็งแรงและวิ่งเก่งที่เราเฝ้าครุ่นคิดตลอดหลังจากได้ดูซีรี่ส์เรื่อง LOST ทำให้เราพยายามแข็งใจวิ่งให้นานขึ้น และเร็วขึ้น ความภาคภูมิใจที่ทำสำเร็จและความสุขจากเอ็นโดฟินทำให้เราเริ่มเปลี่ยนความคิดจากคำว่า "ต้อง" เป็น "ควร" และเป็น "อยาก" ในที่สุด

การเป็นนักวิ่งของเราเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายแบบนี้
............................

นี่คือฉากฟินาเล่ของหนังเรื่อง signs (ต่อจากนี้คือ spoil )


การกำจัดเอเลี่ยน เริ่มต้นจากคำสั่งเสียก่อนตายของคอลลีนเมื่อหลายปีก่อนที่่ฝากสามีไปบอกน้องว่า "swing away" (ซึ่งในบริบทนั้นหมายถึง ให้เปลี่ยนชีวิต เลิกจมปลักกับความผิดหวังในอาชีพนักเบสบอลเสียที) เมื่อเกรแฮมจู่ๆก็นึกถึงเหตุการณ์นั้นและรำพึงคำนี้ขึ้นมา กลับสอดคล้องพอดีกับสถานการณ์ เพราะที่ใกล้ตัวเมอริล มีไม้เบสบอลที่เขาเคยใช้สมัยยังไม่เลิกอาชีพแขวนประดับอยู่ที่ข้างฝาพอดี เมอริล swing ไม้เบสบอลเข้าที่เอเลี่ยนเต็มแรง แม้จะไม่ทันการณ์เพราะเอเลี่ยนได้พ่นพิษใส่จมูกมอร์แกนที่สลบอยู่ในอ้อมแขนของมันไปก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ทำให้เอเลี่ยนล้มไปโดนน้ำหกใส่ เป็นน้ำจากแก้วที่โบ กินแล้วทิ้งไว้ทั่วบ้านตามนิสัยแปลกประหลาดของเธอ เราจึงได้พบความจริงว่าน้ำเมื่อโดนตัวเอเลี่ยนก็เหมือนเป็นกรดอย่างแรงดีๆนี่เอง สุดท้ายเอเลี่ยนก็ตายจากน้ำครึ่งแก้วของโบ ส่วนมอร์แกน แม้จะโดนพิษแต่ก็ไม่เป็นอะไร เพราะขณะนั้นโรคประจำตัวคือหอบหืดได้กำเริบขึ้นมาพอดี ปอดไม่ทำงาน จึงไม่ได้สูดเอาสารพิษเข้าไป

******** จบ spoil *************

แม้จะดูเหมือนเรื่องบังเอิญ ที่จะเรียกว่าโชค หรือฟ้าลิขิตมาก็ตาม แต่สำหรับเรา ถามว่า ถ้าเมอริลเกิดป๊อด กลัวเอเลี่ยนข่วนหน้าไม่กล้าสู้  หรือถ้าเกรแฮมเกิดอยากดัดนิสัยลูกสาวด้วยการเก็บแก้วน้ำทั้งหมดไปทิ้ง หรือเกิดลนลานจนหายาฉีดแก้อาการหอบกำเริบของลูกชายไม่ทันล่ะ

เช่นเดียวกัน แม้เราจะบังเอิญเคยวิ่งแก้บน บังเอิญไม่อยากเป็นอาจารย์ประเภทป้าแก่ๆใส่แว่นหนาๆ และบังเอิญได้อ่าน"เมื่อยักษ์ตื่น" แต่ถ้าไม่ประกอบชิ้นส่วนเหล่านี้เข้าหากันด้วยกาวที่ชื่อว่า "วินัย" เราคงไม่ได้เข้ามาสัมผัสชีวิตที่ดีของการเป็นนักวิ่งอย่างทุกวันนี้

ณ ขณะนี้ หลายคนมีแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่แล้วที่จะเป็นนักวิ่ง นี่คือโชคอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้พบเจอ ต่อจากนี้สิ่งที่ต้องทำมีเพียงแค่ "วิ่งให้สม่ำเสมอ" แม้ในวันที่ขี้เกียจ เบื่อ ฝนตก แดดออก ถ้ากำหนดตารางไว้แล้วก็ควรจะรักษาให้เคร่งครัดที่สุด คาถาที่เราเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งหัดวิ่ง เพื่อใช้ต่อสู้กับอาการขี้เกียจก็คือ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำตัวเหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่เปลี่ยนชุดแล้วหอบสังขารไปให้ถึงสนาม เมื่อทำได้ถึงขั้นนี้แล้วค่อยเอาสมองกลับมา ถ้าไม่เหลวไหลจนเกินไป ยังไงก็ได้วิ่ง การวิ่งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ติดวิ่ง และในที่สุดมีแต่จะต้องคอยปรามว่า วิ่งเยอะไปแล้ว เพลาๆบ้างก็ได้

ปล. ลองใช้ google map วัดระยะรอบตึกคณะที่เคยวิ่งแก้บนดู พบว่ามีระยะ 520 เมตร นั่นแปลว่า 4 รอบก็ได้ระยะเพียง 2 กม. ในวันนั้นเราใช้เวลาวิ่ง 20 นาที นั่นแปลว่า เราวิ่งด้วย pace 10 นาที/กม.!! นี่แหละหนาเขาถึงว่า คนเรามันพัฒนากันได้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ


16 comments:

  1. น้องม้วนJanuary 4, 2013 at 7:44 AM

    เมื่อตอนปีใหม่หนูนอนดูหนังช่องทรู ตอนแรกดูเรื่องเกี่ยวกับ เฮเลน แห่งทรอยก่อน พอจบจะลุกไปปิดทีวีอยู่แล้ว ผังรายการต่อไปก็ปรากฏขึ้นมา ชื่อหนังเรื่องนั้นทำให้ต้องไปตักข้าวมากินหน้าทีวี เพราะมันคือ Sign

    ^___^

    เอาโดยตัวหนังหนูชอบความสมจริงของมันตรงที่
    ถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลกจริง ประชาชนตาดำๆอย่างเราก็คงมีชีวิตอยู่เหมือนกับครอบครัวนี้แหละ
    เพราะเราไม่ใช่ทหารนาวิกโยธิน หรืออยู่ในหน่วยติดอาวุธสุดยอด
    หรือบ้านอยู่ใกล้กองบัญชาการที่อาจมีโอกาสรอดชีวิตสูงเพราะมีฮีโร่ (ในหนัง)มาช่วยไว้ทัน
    เราคงได้แต่ดิ้นรนช่วยตัวเองเท่าที่จะทำได้ แม้มันจะหมายถึงแค่การเอาไม้มาตอกตะปูปิดหน้าต่างบ้านไว้ก็ตาม

    แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นแค่การหวังพึ่งโชคชะตาอย่างเดียวเสียหน่อย
    เพราะผ่านการคิดไตร่ตรอง ทบทวนจากข้อมูลที่มีในมือตอนนั้นแล้วว่า
    มันอาจะช่วยได้ อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่า สู้จนสุดกำลังแล้ว ^___^

    ฉากที่หนูชอบมากที่สุดในหนัง กลับกลายเป็นฉากเล็กๆที่พ่อให้โหวดว่า เราจะออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ริมทะเลสาป หรืออยู่ที่บ้านกันต่อไป
    ลูกชายกับอาบอกว่าอยู่บ้าน ในขณะที่ยายตัวเล็กจะไปริมน้ำ (น่าสงสารคงกลัวมากเลยอ่ะ >.<) และคะแนนโหวดไปริมน้ำชนะไปด้วย 3 ต่อ 2 (ตรงนี้ทั้งฮาทั้งเคืองพ่อ ฮาเพราะตอนแรกก็แบบว่า เอ้า แล้วจะตัดสินได้ไง แล้วมาเคืองตรงพ่อโมเม ว่ามีคะแนนส่วนของแม่ที่ตายไปแล้วด้วยในมือด้วย)

    แต่ที่ชอบที่สุดคือเมื่อลูกชายบอกว่า นี่คือที่ที่เราเคยอยู่กับแม่
    แล้วยายตัวเล็กที่กลัวมนุษย์ต่างดาวสุดใจ ก็บอกกับพ่อว่า "หนูเปลี่ยนใจแล้ว หนูจะอยู่ที่นี่"

    ฉากนี้หนูแบบน้ำตาซึมเลย ขำก็ขำด้วยที่คะแนนโหวดพลิกโผ (เห็นหน้าพ่อแล้วแอบสะใจ ฮ่าๆ) แต่คิดว่าถ้าเป็นตัวเอง ในเมื่อที่ไหนๆก็มีโอกาสรอดต่างกันไม่มาก ถ้าต้องตายก็ขอตายอยู่ในที่ที่เรียกว่า "บ้าน"ดีกว่า

    ในประเด็นอื่นๆ ความที่หนูอ่านรีวิวของพี่ก่อน (นาน)แล้ว จึงได้ดูหนัง จำประเด็นได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เมื่อย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง หนูว่าพี่รีวิวไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องการวิ่ง ทำให้อ่านแล้วฮึกเหิมๆจังค่ะ

    ไม่ว่าจะโชคชะตา ความบังเอฺย หรือเป็นผลผลิตจากอะไรก็ตาม
    เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบลงในก่อนปีใหม่ พร้อมกับแรงบันดาลใจมากมายหลายหลาก
    หนูรู้สึกว่า เรามีสัญญาณอะไรบางอย่าง จึงได้มาพบ (และรัก ^^)กัน

    ขอบคุณสำหรับสิ่งดีงามทุกอย่างที่พี่มอบให้หนูในเวลาไม่กี่เดือนที่ได้เป็นพี่น้องกันค่ะ ^^

    ReplyDelete
  2. น้องม้วนJanuary 4, 2013 at 7:48 AM

    ปล. ตอนนี้หนูเริ่มชินกับการคอมเมนท์บลอคพี่ และเริ่มอ่านตัวหนังสือที่พิสูจน์ว่าหนูไม่ใช่หุ่นยนต์ (แกต้องให้ฉันยืนยันอีกกี่ครั้งถึงจะเชื่อ !! 555+) มากขึ้นแล้วค่ะ กิกิ

    ReplyDelete
  3. น้องม้วนJanuary 4, 2013 at 7:51 AM

    แว้กกกก แล้วคอมเมนท์อันแรกที่พิมพ์ยาวเหยีดหายไปหหนายยยยยย

    ReplyDelete
  4. น้องม้วนJanuary 4, 2013 at 8:08 AM

    ในช่วงวันก่อนปีใหม่ หนูนอนดูหนังช่องทรู ตอนแรกดูเรื่องเกี่ยวกับ เฮเลน แห่งทรอย
    พอหนังจบ กำลังจะลุกไปปิดทีวีอยู่แล้ว แต่ผังรายการต่อไปปรากฏขึ้นมาก่อน
    และทำให้หนูต้องเปลี่ยนไปตักข้าวมานั่งกินหน้าทีวีแทน เพราะหนังเรื่องนั้นคือ
    " Sign"

    หนูชอบตัวหนังตรงที่ให้ความรู้สึกสมจริงว่า หากมนุษย์ต่างดาวบุกโลกจริง
    ประชาชนตาดำๆอย่างเรา ก็คงเหมือนครอบครัวในเรื่องนี่ล่ะ
    ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดต่อสู้ตามมีตามเกิด ด้วยลำแข้งของตัวเองเท่านั้น
    เพราะเราไม่ใช่เหล่านาวิกโยธิน ไม่ได้อยู่ในหน่วยติดอาวุธไฮเทค
    ไม่ได้มีบ้านใกล้กองบัญชาการใหญ่ ที่อาจมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นได้ เพราะมีฮีโร่ (ในหนัง)มาช่วยไว้ได้ทัน

    เราคงทำได้เพียงหวังว่าจะมีชีวิตรอด และทำในสิ่งที่ทำได้
    แม้มันจะหมายถึงการแค่เอาไม้กระดานมาตอกตะปูปิดหน้าต่างไว้
    แต่นั่นก็ผ่านการกลั่นกรองไตร่ตรองตามข้อมูลที่มีอยู่ในมือแล้วว่า
    มันอาจจะช่วยได้ และอย่างน้อย ..มันหมายถึงการสู้อย่างถึงที่สุดของเราแล้ว ^___^

    ฉากที่หนูชอบที่สุดในเรื่อง กลับเป็นแากเล้กๆที่พ่อให้สมาชิกทั้ง 4คนในครอบครัวโหวดว่า
    เราจะอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป หรือหนีไปอยู่ริมน้ำ ลูกชายกับอาโหวดว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป
    ในขณะที่ยายตัวเล็กที่คงกลัวสุดหัวใจ โหวดเช่นเดียวกับพ่อว่า จะหนีไปอยู่ริมน้ำ

    ตอนแรกหนูก็ เอ้า แล้วตกลงยังไง 2 ต่อ 2 แล้วก็ให้เคืองพ่อที่บอกว่าริมน้ำชนะ 3 ต่อ 2
    เพราะพ่อมีคะแนนเสียงของแม่ที่ตายไปแล้วอยู่ในมือด้วย

    ฮ่วย !!!
    >.<

    แต่เมื่อยายตัวเล็กได้ยินพี่ชายเถียงพ่อว่า "แต่นี่คือที่ที่เราเคยอยู่กับแม่นะ"
    แม้จะกลัวสุดหัวใจ แต่แกก็กล้าหาญพอที่จะตัดสินใจว่า "หนูเปลี่ยนใจแล้ว หนูจะอยู่ที่นี่"

    ขำก็ขำที่คะแนนโหวดพลิกโผอีกที แอบสะใจหน้าเซ็งของพ่อมากด้วย ฮ่าๆ
    แต่ก็น้ำตาซึมเมื่อคิดตามว่า หากถึงเวลาหนึ่งเมื่อโอกาสเป็นหรือตายเท่ากัน
    เป็นหนูก็คงตัดสินใจจะยืนหยัดอยู่ในที่ที่เราเรียกมันว่า "บ้าน"

    ในส่วนประเด็นอื่นๆ หนูได้อ่านรีวิวของพี่ก่อนดูหนัง (นาน)แล้ว เมื่อได้ย้อนกลับมาอ่านอีกที
    รู้สึกพี่เขียนถึงได้อย่างเต็มอิ่มสมบูรณ์แล้ว และเมื่อมันเกี่ยวพันกับแรงบันดาลใจและชีวิตของนักวิ่ง
    ยิ่งอ่านแล้วฮึกเหิมๆจังค่ะ ^^V

    ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตา ความบังเอิญ หรือผลผลิตจากอะไรก้ตม
    เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบลง หนูว่ามันคงเป็นสัญญาณบางอย่างที่ทำให้เรามาพบ (และรัก ^^)กัน
    ขอบคุณสำหรับสิ่งดีงามมากมายที่พี่มอบให้หนู ในเวลาไม่กี่เดือนที่เราได้มาเป็นพี่น้องกัน
    มันมากเกินกว่าที่หนูจะเคยคิดได้เลยจริงๆ ^__^

    ReplyDelete
  5. น้องม้วนJanuary 4, 2013 at 8:12 AM

    กิกิ รอบนี้เขียนลงเวิร์ดไว้ก่อนเลย
    หายอีกก็แปะอีกกกกก กิกิกิกิ

    ReplyDelete
  6. น้ำตาซึมในความน่ารักของน้องม้วน
    ถ้าไม่ได้ตั้งใจมาคุยด้วยจริงๆ ใคร้รรรมันจะลงทุนพิมพ์ใหม่ยาวยืดขนาดนี้
    (ยาวจนบล็อกคิดว่าเป็น spam เลย block ไว้ รอพี่มา verify)
    ทั้งเห็นถึงความตั้งใจ และความเป็นคนจิตใจดีอย่างที่ไม่รู้จะหาได้แบบนี้จากไหนอีก
    (คงรู้ว่าพี่กำลังจิตตกสินะ เลยอยากมาให้กำลังใจ)

    เรานี่ช่างโชคดีจินๆ ^_^

    ReplyDelete
  7. น้องม้วนJanuary 5, 2013 at 7:46 AM

    อ้าว โผล่มาแล้วทั้งสองอันเบย >.<
    บอกแล้วว่าหนูมาป่วนบลอคพี่ ทำคอมเมนท์รกไปหมด กิกิ
    จะลบไปสักอันก็ได้น้า เขียนได้เหมือนกันเป๊ะ เพราะติดนิสัยอ่านทวนน่ะค่ะ
    เวลาเขียนเรื่องก็จะอ่านทวนใจความแต่ละย่อหน้าว่าสอดคล้องต่อเนื่องกันไหมอะไรแบบนี้

    ^___^ แน่นอนว่าหนูตั้งใจจะมาคุยกับพี่
    และอยากคุยกับพี่ในบลอคมาตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งสามารถค่ะ ^^V

    ReplyDelete
  8. จะอ่านอีกครับอาจารย์ป้อม

    ReplyDelete
    Replies
    1. 5555 เจอพี่ไก่ทวง
      รอแพ้พพพพพ ค่ะพี่ ศิลปินขอบิ๊วด์อารมณ์แพ้พพพพ
      ออกโพสต์ใหม่เมื่อไหร่จะไปหักคอพี่ไก่มาอ่านทันทีเลยค่ะ

      Delete
  9. Sign นี่ภาพยนต์ในดวงใจของเค้าเลยนะฮ๊า ตัวละครทุกตัวล้วนผูกพันกันด้วยสิ่งที่เรียกว่า"ชะตา" เริ่มแต่ไอ้หนุ่มอินเดียมีเหตุให้กลายเป็นฆาตกรฆ่าคุณแม่ลูกสองตายด้วยอุบัติเหตุที่มีแอเลี่ยนมีส่วนเกี่ยวข้อง นักกีฬาเบสบอลที่แขวนไม้ทิ้งโดยหารู้ว่าว่าซักวันไม้เบสบอลอาจเดิมนั้นอาจเปลี่ยนชีวิตเขาอีกครั้ง คุณพ่อลูกสองที่ต้องเห็นการตายของภรรยาสุดที่รักแบบตายในอ้อมแขนที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้แบบที่ไม่มีหวังที่พระเจ้าจะมาช่วยอะไรได้

    แต่สุดท้ายตัวละครทุกตัวต้องมารวมกันร่วมกันเฉลยและต่อสู้กับสิ่งลึกลับและดูน่ากลัวที่สุดเท่าที่ชีวิตเคยเผชิญมาและท้าทายในสิ่งที่เคยเชื่อและความหดหู่ที่เคยห่อหุ้มเกาะกินจิตรใจมาตลอด ตัวละครทุกตัวล้วนมี"ชะตา"ผูกพันกันเพื่อที่จะสร้างปาฏิหารให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของมนุษย์คือการ"มีชีวิตรอด"และพบกับความหวังที่จะมีชีวิตต่อไปในวันที่รู้สึกว่าเคยมืดมิดและไร้ทางออกและหมด"ศรัทธา"มาก่อน

    และหากหมด"ศรัทธา"ที่จะมีชีวิตต่อเสียแล้วตัวละครทุกตัวคงไม่ได้ออกมาจากปมที่เคยกัดกินใจมานานได้อย่างแน่นอน ไอ้หนุ่มอินเดียคงไม่ได้มีโอกาสตอบแทนครอบครัวที่เขาเคยพรากชีวิตสมาชิกในครอบครัวนั้นไป คุณพ่อที่ไม่สามารถยื้อชีวิตภรรยาไว้ได้คงไม่มีโอกาสได้ยื้อชีวิตลูกและต้องถูกพรากไปอีกคนต่อหน้าต่อตา ไอ้หนุ่มนักเบสบอลอาจไม่มีโอกาสช่วยชีวิตหลานสุดที่รักด้วยการตีสุดยอดโฮมรัน สุดท้ายทุกชีวิตล้วนมี"โชคชะตา"มีความผูกพันกันมาก่อนที่จะร่วมกันฝ่าอุปสรรคมาได้ด้วย"ศรัทธา"ที่อาจเคยสูญสิ้นไป และพิสูจน์ให้เห็นว่า"ศรัทธา"ก็เป็นสิ่งจำเป็นโดยฉะเพาะในโอกาสสำคัญ.

    เมื่อเราเริ่มวิ่งวันหนึ่ง"ชะตา"พาเรามาพบกัน เมื่อเราไม่หมดศรัทธาที่จะวิ่งต่อไปซักวันคงมีพทพิสูจน์ว่าเราวิ่งกันไปเพื่ออะไร

    ReplyDelete
    Replies
    1. เมื่อปีที่แล้วเคยเกือบต้องสังเวยชีวิตด้วยความประมาทของผู้ขับขี่รถไปเสียแล้ว

      ขณะที่กำลังจะเปิดประตูเข้ารถยนต์ของตัวเองเป็นเวลาเดียวกับที่มีรถยนต์อีกคันเสียหลักจะเข้ามาชน ในเสี้ยววินาทีนั้นเองด้วยสัญชาติญาณและความพร้อมของกล้ามเนื้อจึงสามารถกระโดดและดีดตัวหนีออกมาจากจุดนั้นได้ก่อนที่รถต้นเหตุคันดังกล่าวจะพุ่งเข้ามากระชากวิญญาณไป

      นี่ก็เกือบจะต้องมี"ชะตา"ร่วมอุบัติเหตุกับคนมักง่ายผู้ขับขี่รถคันนั้น และหากร่างกายไม่กระฉับกระเฉงจากการ"วิ่ง"แล้วหล่ะก็คงต้องสิ้นชีวิตไปเรียบร้อยโรงเรียนลิงแย้ว ที่สำคัญคือเหตุแห่งการจะเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้มาจากหญิงผู้ขับขี่รถคันนั้นเสียสมาธิการขับขี่จนเสียหลักจะมาชนเราเพราะว่ากำลังเล่นกับ"หมา"ที่อุ้มอยู่บนตัก <= นับถือความรักสัตว์ของคนใจ(รัก)สุนัขคนนี้จริงๆ

      ตัวอย่างข้างบนนั้นอาจเป็นบทพิสูจน์ได้ถึง"ศรัทธา"ที่เรามีต่อการออกกำลังกายโดยฉะเพาะการวิ่ง ซึ่งซักวันการวิ่งก็อาจช่วยชีวิตเราหรือเปลี่ยน"ชะตา"เราได้ซึ่งก็น่าจะสรุปได้ว่าคุ้มค่ากับการฝึกจริงๆ

      ด้วยรัก
      วช60

      Delete
    2. โอ้ว เพิ่งรู้ว่าพี่วช มีประสบการณ์เฉียดถึงเพียงนี้
      และทึ่งยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่า การวิ่ง ทำให้พี่รอดชีิวิตมาได้
      ขนลุก ไม่แพ้ฉากฟินาเล่ของเรื่อง SIGNS เลยค่ะ

      Delete
  10. Sign นี่ภาพยนต์ในดวงใจของเค้าเลยนะฮ๊า

    ตัวละครทุกตัวล้วนผูกพันกันด้วยสิ่งที่เรียกว่า"ชะตา" เริ่มแต่ไอ้หนุ่มอินเดียมีเหตุให้กลายเป็นฆาตกรฆ่าคุณแม่ลูกสองตายด้วยอุบัติเหตุที่มีแอเลี่ยนมีส่วนเกี่ยวข้อง นักกีฬาเบสบอลที่แขวนไม้ทิ้งโดยหารู้ว่าว่าซักวันไม้เบสบอลอาจเดิมนั้นอาจเปลี่ยนชีวิตเขาอีกครั้ง คุณพ่อลูกสองที่ต้องเห็นการตายของภรรยาสุดที่รักแบบตายในอ้อมแขนที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้แบบที่ไม่มีหวังที่พระเจ้าจะมาช่วยอะไรได้

    แต่สุดท้ายตัวละครทุกตัวต้องมารวมกันร่วมกันเฉลยและต่อสู้กับสิ่งลึกลับและดูน่ากลัวที่สุดเท่าที่ชีวิตเคยเผชิญมาและท้าทายในสิ่งที่เคยเชื่อและความหดหู่ที่เคยห่อหุ้มเกาะกินจิตรใจมาตลอด ตัวละครทุกตัวล้วนมี"ชะตา"ผูกพันกันเพื่อที่จะสร้างปาฏิหารให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของมนุษย์คือการ"มีชีวิตรอด"และพบกับความหวังที่จะมีชีวิตต่อไปในวันที่รู้สึกว่าเคยมืดมิดและไร้ทางออกและหมด"ศรัทธา"มาก่อน

    และหากหมด"ศรัทธา"ที่จะมีชีวิตต่อเสียแล้วตัวละครทุกตัวคงไม่ได้ออกมาจากปมที่เคยกัดกินใจมานานได้อย่างแน่นอน ไอ้หนุ่มอินเดียคงไม่ได้มีโอกาสตอบแทนครอบครัวที่เขาเคยพรากชีวิตสมาชิกในครอบครัวนั้นไป คุณพ่อที่ไม่สามารถยื้อชีวิตภรรยาไว้ได้คงไม่มีโอกาสได้ยื้อชีวิตลูกและต้องถูกพรากไปอีกคนต่อหน้าต่อตา ไอ้หนุ่มนักเบสบอลอาจไม่มีโอกาสช่วยชีวิตหลานสุดที่รักด้วยการตีสุดยอดโฮมรัน สุดท้ายทุกชีวิตล้วนมี"โชคชะตา"มีความผูกพันกันมาก่อนที่จะร่วมกันฝ่าอุปสรรคมาได้ด้วย"ศรัทธา"ที่อาจเคยสูญสิ้นไป และพิสูจน์ให้เห็นว่า"ศรัทธา"ก็เป็นสิ่งจำเป็นโดยฉะเพาะในโอกาสสำคัญ.

    เมื่อเราเริ่มวิ่งวันหนึ่ง"ชะตา"พาเรามาพบกัน เมื่อเราไม่หมด"ศรัทธา"ที่จะวิ่งต่อไปซักวันคงมีพทพิสูจน์ว่าเราวิ่งกันไปเพื่ออะไร

    วช60

    ReplyDelete
    Replies
    1. น้องอ่านหนแรกตอนยังไม่ลงชื่อ ก็รู้เลยว่าเป็นพี่วช60
      ไม่บอกว่าเพราะอะไร อิอิ
      ขอบคุณที่ช่วยแชร์มุมมองของ SIGNS ให้หลากหลายยิ่งขึ้นนะคะ

      จริงสินะ แม้จะหมดศรัทธาต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ
      แต่สัญชาติญานพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ยังคงทำงานอย่างเคร่งครัด
      มันคือศรัทธาในการมีชีวิตต่อไป มันคือความเชื่ออย่างแท้จริง ว่าชีวิตต้องมีทางออก
      เพราะไม่ว่า"การมีชีวิตต่อ"จะดีร้ายยังไง เรายังคงขอโอกาสให้ได้"ใช้"มันอีกครั้ง
      ครั้งแล้ว ครั้งเล่า อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยย่อท้อ

      ดุจเดียวกับศรัทธาในการวิ่ง
      เราทั้งคู่ก็คงไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะนำเราไปสู่หนใด
      รู้แต่ว่า มันต้องสุขมากกว่าทุกข์ ดีมากกว่าแย่ เราจึงได้ keep running แม้จะเจ็บมาทั่วตัวแล้วก็ตาม

      Delete
  11. เค้าไม่เคยดูสักกะเรื่องเลย เว้น survivor ><
    และม้วนพิมพ์ยาวมากๆๆเลย

    ไว้มีโอกาสจะมาดู

    แต่ปูเพ้อฝัน อยากลองเจอเหตการณ์แบบนี้
    ที่สำคัญ คือ มั่นใจด้วยว่า ตัวเองจะรอดตาย 555

    ปูมึน
    ปล อยากมีชื่อโชว์มั่ง แต่ทำไม่เป็น

    ReplyDelete
    Replies
    1. ฮ่าๆๆ จำได้ๆ ที่บ้านปิดกั้นสื่อชิมิน้องปู ;)

      ถ้าเป็นในหนังฝรั่ง คนโก๊ะๆมึนๆ จะรอดตายนะ
      (แต่ติดตรงที่คนมึนๆในหนังมักเป็นผู้ชายอะจิ 5555+)

      เรื่องโชว์ชื่อ ดูที่นี่เลยจ้ะ
      http://oorrunningblog.blogspot.com/p/blog-page_25.html

      Delete

*************************************************************************************
ผักกาดๆ ถ้าข้อความไม่ขึ้น นั่นแปลว่า blog คิดว่าข้อความของท่านเป็น spam ไม่ต้องกังวลค่ะ comment เหล่านี้จะตกไปอยู่ที่กล่อง spam รอให้เจ้าของ blog มาตรวจสอบ (ก็คือเรานั่นเอง ^ ^)
*************************************************************************************

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...