ที่กล่าวมา ไม่ได้ครอบคลุมเพื่อนนักวิ่งที่ถือปรัชญา "วิ่งสบายๆ เข้าเส้นชัยตอนใกล้เก็บพรม" แต่อย่างใด เพราะจุดมุ่งหมายของเราต่างกัน กลุ่มแรก (มีเราเป็นอาทิ) มีความสุขกับการได้พัฒนาฝีมือ อยากรู้ว่าศักยภาพของตัวเองจะสิ้นสุดที่จุดใด อาจมีถ้วยเป็นผลพลอยได้หรือเป็นเหตุผลหลัก ก็แล้วแต่คน ส่วนกลุ่มหลัง ถือเอางานวิ่ง เป็นโอกาสที่จะได้พักผ่อนหย่อนใจ เปลี่ยนสถานที่ออกกำลังกายไม่ให้จำเจ ทำบุญ พบปะเพื่อนฝูง ดังนั้นเขาเหล่านี้ จะวิ่งไปคุยกันไป เจอโลเคชั่นสวยๆก็แวะชักภาพ ไม่อนาทรกับตัวเลขบนนาฬิกาแต่อย่างใด (บางครั้งถึงกับแวะใส่บาตรพระที่บังเอิญเดินบิณฑบาตผ่านมา...เอาซี้)
ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มใด ถ้าได้เลือกให้ตรงกับจริตของตัวเองแล้ว งานวิ่งก็นำความสุขมาให้ได้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญคืออย่าเอาโลกทัศน์และความต้องการของตัวเองไปตัดสินคนอื่น การวิ่งไปใส่บาตรไปไม่ใช่เรื่องของคนเพี้ยน เท่าๆกับที่การเคี่ยวเข็นร่างกายจนอาเจียนหรือหมดสติหลังเข้าเส้นชัย ก็ไม่ใช่เรื่องของคนบ้าเช่นกัน
เรื่องวิ่งเรื่องกล้วยได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ นั่นคือแทนที่่จะถือสังกัดใดสังกัดหนึ่งโดยถาวร จะดีกว่าไหมถ้าเราโดดข้ามไปมาบ้างเพื่อการวิ่งที่ยั่งยืน
"ชีวิตการวิ่งเหมือนมีวงกลม 2วง ที่ซ้อนกันอยู่ วงในเหมือนไข่แดงคือวิ่งเพื่อแข่งขันศักยภาพ และวงของไข่ขาวที่อยู่ข้างนอก คือวิ่งเพื่อสุขภาพ
การได้ลิ้มชิมรสชาดของไข่แดงบ้าง ไข่ขาวบ้าง ย่อมทำให้ร่างกายมีการพักฟื้น และมีแรงใจที่จะอยู่ในชีวิตของการวิ่งได้ตลอดไป"
สำหรับเรา แม้จะได้เลือกแล้ว ว่าขอกินไข่แดงเป็นหลัก แต่เมื่อกินไปนานๆ มันก็ต้องมีเบื่อมีเอียนกันบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความรู้สึก "อยากแข่ง" ไม่ว่ากับตัวเองหรือคนอื่น มันหายไปดื้อๆเหมือนโดนดูดซร้วบเข้าหลุมดำ ทั้งๆที่ยังซ้อม และยังกะตือรือร้นอยากไปงานแข่งอยู่ตามปกติ
ความรู้สึกดังกล่าวนี้ น้องที่ชมรมเคยพูดไว้นานแล้ว แต่ตอนนั้นเรายังไม่อิน "ความรู้สึกว่านี่คือฤดูกาลแข่งขัน มันไม่ได้สร้างง่ายๆนะพี่ คนเรา ใครมันจะอยากแข่งอยู่ตลอดเวลา" ...นั่นสินะ ชีวิตคนเรามีตัวแปรตั้งมากมาย การหวังให้สภาวะจิตใจอันมีสถานะ unstable ตามธรรมชาติยังคงจดจ่อกับเป้าหมายเดิมตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ออกจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อคิดได้ดังนี้ เราจึงตั้งใจจะปลดปล่อยตัวเองซักพัก จิตวิญญานนักแข่งกลับมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที
race 31: กฟผ.มินิมาราธอน
งานวิ่งอินดี้อีกงานของเมืองไทย ไม่มีการแจกถ้วยเพราะคอนเซ็ปต์คืออยากให้เป็นงานวิ่งเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ไม่มีถ้วยจะได้ไม่ต้องแข่งกัน ให้วิ่งสบายๆชมบรรยากาศกฟผ.ยามเช้า ชมแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อข้ามสะพานพระรามเจ็ด และกระตุ้นหัวใจพอกรึ่มๆเมื่อวิ่งขึ้นตึกที่จอดรถความสูง 7 ชั้นและ 9 ชั้น
แต่ในขณะเดียวกันผู้จัดก็ไม่ได้ปฏิเสธจริตของคนอีกกลุ่ม ที่มีความสุขกับการพัฒนาฝีมือ ไม่แข่งกับคนอื่นก็แข่งกับตัวเอง ดังนั้นจึงแจกป้ายอันดับให้กับทุกคนและมีของที่ระลึกที่แตกต่างกันตามประสิทธิภาพของฝีเท้า โดยถ้าเป็นผู้หญิง จะได้เหรียญทองถ้าเข้าเส้นชัย 50 อันดับแรก(ของฝ่ายหญิง) เหรียญเงินถ้าเข้าเส้นชัย 50 อันดับถัดไป และเหรียญทองแดงสำหรับอันดับที่เหลือ
เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องมางานนี้ให้ได้ ทั้งด้วยเพราะใกล้บ้าน ผู้จัดเป็นรุ่นพี่ที่ AIT และอยากวิ่งข้ามสะพานพระรามเจ็ด ที่เคยแต่นั่งรถข้ามมาเป็นสิบปีนับตั้งแต่เรียนปริญญาตรีที่สถาบันซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเชิงสะพานแห่งนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าอารมณ์ไม่อยากแข่งจะเกาะกุมหัวใจอยู่อย่างแน่นหนาเพียงไร เราก็ยังตัดสินใจมาวิ่งอยู่ดี
งานนี้น้องเอ็ม หัวลากคู่บารมีก็มาวิ่งด้วย เธอแสดงความจำนงจะลากเราอีกครั้ง แต่คราวนี้เราบอกอย่างมั่นใจว่า "พี่มาวิ่งชิวๆจ้ะ" จะเทมโป้ไปเรื่อยๆ ถือว่าซ้อมความเร็วฮาล์ฟที่จะวิ่งในงานริเวอร์แควอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าก็แล้วกัน
และเมื่อเสียงหวูดปล่อยตัวดังขึ้น เราก็วิ่งตามที่ตั้งใจไว้จริงๆ นั่นคือประคองความเร็วที่ระดับเทมโป้ไปเรื่อยๆโดยใช้ความรู้สึกเป็นตัวบ่งชี้ นาฬิกาที่เคยเป็นเสมือนกระบี่คู่ใจ วันนี้เราคาดมันมาเพียงเพื่อวัดระยะทางจริงของการแข่งขันเท่านั้น ส่วนภารกิจเร่งเร้าเจ้าของให้วิ่งตาม pace ที่ตั้งไว้ เราอนุญาตให้มันอู้หนึ่งวัน การวิ่ง(เกือบ)สบาย ในขณะที่เฝ้าดูนักวิ่งกลุ่มข้างหน้าออกจากจุดสตาร์ทอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก...ตูรอดแล้ว วันนี้ตูไม่ต้องเหนื่อยแบบพวกท่าน สู้ว์ๆนะจ๊ะ อิอิ
หลังจากวนสนามเทนนิสหนึ่งรอบ เส้นทางนำออกจาก กฟผ.เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานพระรามเจ็ด สะพานนี้เป็นมิตรกับนักวิ่งมากมายเพราะไม่ค่อยชัน เมื่อประกอบกับความเร็วระดับเพียงเทมโป้ ความฝันที่จะได้วิ่งชมวิวบนสะพานจึงเป็นจริงเสียที หลังจากที่เคยแต่วิ่งไม่ลืมหูลืมตามาตลอด ทั้งบนสะพานลอยบรมราชชนนี สะพานพระราม 8 สะพานภูมิพล 2 และสะพานสาทร เราสูดลมหายใจลึกๆ มองตามแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทอดคดเคี้ยวไปทางท่าน้ำนนท์จนสุดสายตา บัดนี้มันเริ่มเป็นสีทองมลังมเลือง ด้วยสะท้อนแสงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นบนขอบฟ้าฝั่งขวาของสะพาน ไหนจะพื้นที่เรากำลังเหยียบอยู่ขณะนี้อีก มันไม่ใช่ทางขนานสำหรับคนเดิน แต่เป็นถนนแท้ๆที่ในยามปกติมีรถวิ่งกันขวักไขว่ เราละเลียดโมเม้นต์นี้อยู่นาน ทั้งขาไปและขากลับ เพราะประสบการณ์เช่นนี้ มีเพียงคนที่ยอมตื่นตี 4 มาวิ่ง 10 กม.ให้เหนื่อยเล่นๆตอน 6 โมงเช้าพร้อมกับนักวิ่งถนนคนอื่นๆเท่านั้น ที่จะมีโอกาสได้สัมผัส
ระหว่างทางมีทั้งผู้หญิงที่แซงเราไปแต่แรก แล้วโดนเราแซงคืน(อย่างไม่ตั้งใจ เพราะฝีเท้่าของเธอช้าลงเอง) และคนที่มาแซงเราตอนกม.ท้ายๆ อย่างหลังนี่นับก่อนขึ้นตึกจอดรถได้ 2 คน ทำให้อุ่นใจได้ว่ายังไงก็ไม่น่าหลุดเหรียญทอง (ไหนว่าชิวไง 555+) แต่คงต้องลุ้นหน่อย ถ้าอยากติด 1 ใน 10 เพราะไม่รู้ว่า ไอ้ที่นำไปแต่แรก และนำจนจบ มีกี่คน (ที่แน่ๆก็น้องเบสคนนึงแล้ว)
ตึกจอดรถที่่ว่า ถือว่าเป็นไฮไลต์ของงานวิ่งกฟผ.เลยทีเดียว เนื่องจากถ้าคิดจะวิ่งแบบแข่งขัน การวิ่งขึ้นไปตามทางลาดของตึกความสูง 7 ชั้น และ 9 ชั้น จะกระชาก HR อย่างไม่ปราณี อีกทั้งการวิ่งในตึกจอดรถ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคู่แข่งของเราไปถึงชั้นไหนแล้ว ทั้งขาขึ้นและขาลงยิ่งกระตุ้นให้วิ่งไล่อย่างลืมตัว เสียงโห่ร้องอื้ออึงดังขึ้นตลอดเวลาที่วิ่งกันอยู่ในตึก นัยว่าคงสะใจอะไรซักอย่าง ตามประสานักวิ่งบ้าเลือด ทั้งหมดนี้ขีดเส้นใต้คำว่า "วิ่งแบบแข่งขัน" ดังนั้นเราจึงไม่ได้โห่ร้อง ไม่ได้เหนื่อยโฮกๆ ไม่ได้วิ่งไล่ใครกับเค้า ทำแค่เพียงค่อยๆก้าวสเต็ปเพนกวิ้นในขาขึ้นตึก เพื่อถนอมกล้ามเนื้อหน้าขาไว้ใช้ที่งานริเวอร์แคว เตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ฉันมาชิว ฉันไม่แข่ง ใครอยากแซง แซงโลดดดด ดังนั้นใน stage ที่จอดรถนี้ เราจึงโดนผู้หญิงแซงไปอีก 2 คน
ที่สุดเส้นชัย เป็นการแข่งขันครั้งแรกที่มั่นใจว่าได้ป้ายคล้องคอแน่ (เพราะเค้าแจกทุกคน) แม้ไม่ได้คิดจะแข่งขันอะไร แต่ก็รีบจับมาพลิกดูเลขที่ออก...อะนะ...ก็โอเคร้...มากด้วย... สำหรับการวิ่งชิวๆครั้งแรกเช่นนี้
ที่น่าแปลกใจก็คือ ทั้งที่ตั้งใจวิ่งคุมความเหนื่อยไว้แค่เทมโป้ แต่เมื่อกลับมาดูความเร็วที่ระยะต่างๆ กลับพบว่าหลายช่วง ทำความเร็วในระดับเดียวกับการแข่ง 10K เป็นไปได้หรือไม่ว่า ท่าวิ่งในขณะที่มีความกดดัน ต้องการทำความเร็ว กลับมีประสิทธิภาพน้อยกว่าท่วงท่าขณะที่รู้สึกผ่อนคลาย ข้อสงสัยนี้น่าค้นหาคำตอบเป็นยิ่งนัก
9.97 km, 5:38 min/km
ปีหน้าต้องไปลองข้าวไข่เจียว เอ๊ย ลองลงวิ่งรายการนี้บ้างแย้ว ^^
ReplyDeleteมาๆๆ อร่อย เอ๊ย สนุกมาก งานนี้
Deleteโดยเฉพาะตอนวิ่งขึ้นตึกจอดรถ
"สิ่งสำคัญคืออย่าเอาโลกทัศน์และความต้องการของตัวเองไปตัดสินคนอื่น การวิ่งไปใส่บาตรไปไม่ใช่เรื่องของคนเพี้ยน เท่าๆกับที่การเคี่ยวเข็นร่างกายจนอาเจียนหรือหมดสติหลังเข้าเส้นชัย ก็ไม่ใช่เรื่องของคนบ้าเช่นกัน"
ReplyDeleteQuote นี้ ชอบมากครับ
ขอบคุณค่ะ
Deleteเป็นแนวคิดหลักที่ (คนที่กำลังพยายามจะ) liberal อย่างเราพึงระลึกไว้เสมอค่ะ