เป้าหมายที่ชัดเจน ท้าทายแต่เป็นไปได้ และความต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นอย่างไม่มีอะไรมาเทียบเทียม (กำลังพยายามอธิบายคำภาษาอังกฤษว่า No compromise) สองสิ่งนี้เราบอกแก่เพื่อนนักวิ่งหน้าใหม่หลายๆคนที่กำลังฝึกเพื่อเพิ่มระยะทางขึ้นสู่ระดับมินิมาราธอนหรือฝึกเพื่อสถิติใหม่อยู่เสมอ เพื่อเป็นคาถาสำหรับก้าวข้ามอาการท้อแท้ หรือหมดไฟในการวิ่ง นอนนิ่งจมปลัก ไม่ได้จำใครมาแต่เป็นประสบการณ์ตรงที่พบและผ่านมาแล้วหลายครั้งหลายหนในระยะเวลาเกือบ 2 ปีของชีวิตการเป็นนักวิ่งของเรา
ทั้งๆที่รู้และบอกชาวบ้าน แต่เมื่อนักวิ่งคนหนึ่ง "วิ่งไปงั้นๆ" ไม่มีจุดหมาย ไร้แรงบันดาลใจมาร่วม 4 เดือน ตั้งแต่ต้นปีเพราะอกหักจากเป้าหมายมาราธอนเนื่องจากอาการบาดเจ็บสะสม การจะตะกายออกมาจากปลักตมที่ว่ามันจึงยากเย็นเสียเหลือเกิน ปัจจัยแรกสร้างไม่ยาก แค่มีความทะเยอทะยานในขณะเดียวกันก็รู้จักต้นทุนของตัวเอง แต่สำหรับปัจจัยที่สองนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีแรงผลักดันอะไรบางอย่างที่ทรงพลังเสียจนเรายอมแลกความสุขสบายหรือแลกเวลาที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมายจากการอู้ซ้อม แรงผลักที่เราเคยใช้บริการบ่อยๆมักเกิดจากการที่เห็นเพื่อนนักวิ่งด้วยกันยังคงวิ่งสู่เป้าหมายของตัวเขาเองอย่างสม่ำเสมอ และบรรลุเป้าหมายเล็กๆไปทีละขั้น เมื่อเห็นเช่นนี้บ่อยๆ ก็จะทำให้ต้องกลับมาย้อนมองดูตัวเอง ว่า "แล้วตรูมัวทำไรอยู่แว้" จากนั้นไฟริษยา เอ้ย แรงบันดาลใจ ก็จะเกิดขึ้นเอง
ยกประเด็นนี้มาเล่าเพื่อต้องการ motivate ให้คนที่สนใจจะวิ่งพยายามหา buddy ที่ฝีเท้าใกล้เคียงกัน เป้าหมายเหมือนกัน เพื่อช่วยเป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกัน กรณีหา buddy ไม่ได้ ก็พยายามพาตัวเข้าไปในแวดวงนักวิ่ง ซ้อมสนามไหนก็พยายามทำความรู้จักเพื่อนร่วมสนาม ให้ได้โดนถามถึงโดนโทร.ตามบ้าง ยามที่หายหน้าไปนานๆ หรือถ้าไม่ถนัดก็ใช้ชุมชนนักวิ่งใน cyber space อย่างเช่น endomondo เพื่อสร้างแรงบันดาลใจก็ได้ เลือกเอาเถิดตามใจปรารถนา ขอแค่อย่าวิ่งคนเดียวเงียบๆ เจ็บเงียบๆ ท้อแท้เงียบๆและเลิกวิ่งไปเงียบๆในที่สุด ^ ^
กลับมาที่เรื่องของเราบ้าง การตะกายขึ้นมาจากปลักตมหลังจากนอนแช่เล่นอยู่ 4 เดือนของเราครั้งนี้ก็เช่นกัน "เป้าหมาย" คือวิ่ง 2 ชั่วโมงครึ่งให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เดิน ไม่อืด ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายพอสมควรเพราะระยะทางสำหรับเวลาขนาดนี้ควรจะเกินฮาล์ฟมาราธอน นั่นคือมากกว่า 21 กม. ในขณะที่ 2 เดือนที่ผ่านมาเราซ้อมในระยะไม่เกิน 10 กม.เท่านั้น เรื่องท้าทายอีกอย่างคือ อาการเจ็บข้อเท้าที่เป็นๆหายๆ และตอนนี้ก็ยังกรุ่นๆอยู่ ถ้าฝืนสังขารมากอาจถึงขั้นเอ็นข้อเท้าอักเสบ ต้องหยุดพัก แต่เรื่องที่ท้าทายที่สุดก็คือ เหลืออีก 2 สัปดาห์กว่าๆก็จะถึงวันแข่งแล้ว แพะเจ้า!!! ในส่วนของ "แรงผลักดัน" (ครั้งนี้เรียกว่า "แรงถีบ" จะถูกต้องกว่า) เราต้องทำตามเป้าหมายให้ได้เพราะการแข่งขันครั้งนี้คือการวิ่งผลัดทีมละ 4 คน ซึ่งกติกากำหนดว่าในทีมต้องมีผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน และในสถานการณ์ที่นักวิ่งหญิงขาดแคลนเช่นนี้ ถ้าเรายังนอนแช่ปลัก ไม่ยอมลุกขึ้นมาแข่ง เพื่อนในทีมอีก 3 คนที่อุตส่าห์เตรียมตัวมา จะต้องอดแข่งไปด้วย หรือถ้าแค่คิดจะไปวิ่งๆเดินๆ ตามสภาพ ก็จะเป็นตัวถ่วงของทีมอีก งานนี้จึง No compromise อย่างแท้จริง ถึงเสี่ยงเจ็บก็จะลองดูซักตั้ง
การได้ตั้งเป้าหมายและมีความกระหายอยากที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ทำให้เรากลับมาซ้อมอย่างสม่ำเสมออีกครั้ง แม้ช่วงนั้นซึ่งเป็นปลายเดือนเมษาอากาศจะร้อนระห่ำสักเพียงใด เราค่อยๆเพิ่มระยะวิ่งยาวจนจบที่ 18K ในที่สุด ซึ่งใช้เวลาไปประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ส่วนที่เหลืออีก 30 นาทีต้องใช้วิธีไปตายเอาดาบหน้าเนื่องจากระยะเวลาซ้อมมีน้อย ไม่สามารถจัดวันวิ่งยาวติดกันเกินไปได้ เกรงว่าจะหักโหมเกินไป ส่วนอาการเจ็บข้อเท้าที่ยังกรุ่นๆอยู่ เราก็ถือโอกาสนี้ลองท่าวิ่งใหม่ๆ ทั้งมุมของการลงเท้าและการแกว่งแขน เราเปลี่ยนมันไปเรื่อยๆจนเจอท่าที่วิ่งแล้วหลบจุดเจ็บได้ เพิ่งเข้าใจคำพูดของพี่ปูวันนี้ว่า...เจ็บก็วิ่งด๊ายยย (แต่ต้องขอเสริมนิดนึงว่า..แต่ถ้าเจ็บมากก็พักก่อนเหอะ)
วันแข่งเราทำได้ตามเป้าหมายนั่นคือ 11 รอบสวนนวมินทร์ ถือเป็นสถิติกลางๆค่อนมาทางดีของผู้หญิง ส่วนทีม"สมันอัลตร้า"ของเราทำรอบรวมได้ 47 รอบ ได้อันดับ 18 จาก 35 ทีม ที่เพื่อนทั้งสามเกิดอาการผิดฟอร์มเช่นนี้เป็นเพราะอากาศในวันนั้นร้อนมาก และสวนนวมินทร์ก็มีร่มเงาน้อยเสียเหลือเกิน เราโชคดีที่พี่ๆน้องๆให้วิ่งผลัดแรก จบที่ 8:30 น. ยังสบายๆ แต่หลังจากนั้นอุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมาพีคที่ผลัด 3 อุณหภูมิขึ้นไปถึง 42 องศา และวิ่งกลางแดด!!! เดชะบุญแล้วที่รอดชีวิตกลับบ้านกันได้ทุกคน
งานวิ่งครั้งนี้ย้ำให้ตระหนักถึงปัจจัย 2 ประการที่กล่าวไปข้างต้น และทำให้เราได้สัมผัสรสชาติของการวิ่งอย่างมีเป้าหมายอีกครั้ง ในที่สุดเราก็กลับมาสู่เส้นทางเดิมเสียที ขอขอบคุณทุกความเข้มแข็งบนโลกมา ณ ที่นี้
Half Marathon = 2:15:14 ชม.
ขอบคุณภาพจากคุณ RookieX คับ
วันแข่งเราทำได้ตามเป้าหมายนั่นคือ 11 รอบสวนนวมินทร์ ถือเป็นสถิติกลางๆค่อนมาทางดีของผู้หญิง ส่วนทีม"สมันอัลตร้า"ของเราทำรอบรวมได้ 47 รอบ ได้อันดับ 18 จาก 35 ทีม ที่เพื่อนทั้งสามเกิดอาการผิดฟอร์มเช่นนี้เป็นเพราะอากาศในวันนั้นร้อนมาก และสวนนวมินทร์ก็มีร่มเงาน้อยเสียเหลือเกิน เราโชคดีที่พี่ๆน้องๆให้วิ่งผลัดแรก จบที่ 8:30 น. ยังสบายๆ แต่หลังจากนั้นอุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมาพีคที่ผลัด 3 อุณหภูมิขึ้นไปถึง 42 องศา และวิ่งกลางแดด!!! เดชะบุญแล้วที่รอดชีวิตกลับบ้านกันได้ทุกคน
งานวิ่งครั้งนี้ย้ำให้ตระหนักถึงปัจจัย 2 ประการที่กล่าวไปข้างต้น และทำให้เราได้สัมผัสรสชาติของการวิ่งอย่างมีเป้าหมายอีกครั้ง ในที่สุดเราก็กลับมาสู่เส้นทางเดิมเสียที ขอขอบคุณทุกความเข้มแข็งบนโลกมา ณ ที่นี้
Half Marathon = 2:15:14 ชม.
ยอดเยี่ยมเลยครับ อ่านสนุก อยากลุกมาวิ่ง
ReplyDeleteขอบคุณมากค่ะคุณ Purit
Deleteยินดีที่ได้ทำให้คนอยากวิ่งเพิ่มมาอีก 1 คนค่ะ
ว่าแต่เราเป็น friend กันใน endomondo แล้วใช่มั้ยคะ คุ้นๆ
ตรงที่ว่า "วิ่งคนเดียวเงียบๆ เจ็บเงียบๆ ท้อแท้เงียบๆและเลิกวิ่งไปเงียบๆในที่สุด"....แทงใจเลยครับ เพราะเริ่มฝึกวิ่งอย่างจริงจังมาประมาณปีนึงเห็นจะได้ และก็ฝึกวิ่งอยู่คนเดียวเงียบๆ จริงๆ ครับ (เจอคนรู้จักที่มาวิ่ง เขาก็คิดว่าเรามาวิ่งออกกำลังกายชิวๆ เหมือนพวกเขาครับ)เจ็บบ้าง ท้อบ้าง ก็เงียบ...ยังดีที่พอวันรุ่งขึ้นมันก็อยากออกไปวิ่งอีกเพราะเชื่อว่าเราต้องทำได้ดีขึ้น.....
ReplyDelete^___^
Deleteสงสัยวลีนี้จะเป็นวรรคทองแน่ๆเลยค่ะ
เพราะมีน้องสาวที่น่ารักคนนึง ก็โดนใจกับวรรคนี้ และทำให้ตัดสินใจเข้ามารู้จักเพื่อนนักวิ่งคนอื่นๆในที่สุด
ปัจจุบันน้องสาวคนนี้ เธอวิ่งอย่างมีความสุข เปี่ยมล้นด้วยแรงบันดาลใจจากเพื่อนรอบข้าง และกำลังทำเวลาดีขึ้นเรื่อยๆ (แม้จะไม่ได้ถือมันเป็นสรณะในชีวิตก็ตาม)
ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า และขอต้อนรับคุณ Katayut สู่โลกของพวกเรานะคะ
คุณทำได้แน่นอน ถ้าไม่เลิกไปเสียก่อน พวกเรายังไปได้อีกไกลค่ะ สู้ๆๆ
ขอบคุณครับ....เมื่อก่อนเล่นกีฬาประเภทอื่น ปีนึงลงวิ่งมินิฯ ครั้งนึง เวลาชั่วโมงกว่า เข้าเส้นชัยแบบแทบหมดสภาพ ปีที่แล้วแข่งเสร็จก็คิดอยากเปลี่ยนอะไรๆแบบนั้นก็เลยเริ่มซ้อมวิ่งจริงจังขึ้น วิ่งได้มากขึ้น ได้นานขึ้น ได้ไกลขึ้น...หากหยุดไป หรือเลิกไป มันคงน่าเสียดายครับ มีแต่จะยิ่งฝันถึงระยะทางที่ไกลขึ้น และเวลาที่ดีขึ้นครับ...เร็วๆ นี้จะอาจหาญไปลง Half แล้วครับ
ReplyDeleteกีฬาวิ่งมันโหดค่ะ
Deleteหยุดไปเดือนเดียวความฟิตก็ถดถอย แค่วิ่งช้าๆก็เหนื่อยแทบตายแล้วค่ะ
นักวิ่งจึงต้องหาแรงบันดาลใจให้เกาะติดกับการวิ่งอยู่ตลอด
อย่างหนึ่งของแรงบันดาลใจ ตั้งเป้าหมายการแข่งขัน ให้เร็วขึ้นหรือไกลขึ้นนั่นเอง
คุณ Katayut มีแรงบันดาลใจแบบนี้ ก็อุ่นใจได้แล้วค่ะ