Friday, March 8, 2013

รีวิวรองเท้าวิ่ง Brooks PureCadence2 | No comments:

หลังจากได้ทำการทดสอบรองเท้าวิ่ง Brooks รุ่น PureCadence2 เป็นเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ ใส่วิ่งทั้งหมด 5 ครั้งดังที่ได้บันทึกไว้ที่นี่ บัดนี้รีวิวที่เพจเรื่องวิ่งเรื่องกล้วยได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เชิญท่านทัศนาได้โดยพลัน และเพื่อเพิ่มช่องทางการเผยแพร่ เราจึงนำมาฉายซ้ำในบล็อกอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเนื้อหาที่เหมือนกันทุกประการ

รองเท้า Brooks Pure


ข้อมูลการวิ่งของผู้เขียน
วิ่งมาแล้ว 2 ปี 7 เดือน สถิติเทียบกับนักวิ่งหญิงกลุ่มอายุเดียวกัน (30-39 ปี) ที่ใช้โปรแกรม endomondo ทั่วโลกจัดว่าเป็นนักวิ่งแนวกลาง

สถิติเทียบกับนักวิ่งหญิงอายุ 30-39 ปี ที่ใช้ endomondo

อุ้งเท้าเป็นแบบ Normal แต่การลงเท้าเป็น Over-pronation แบบปานกลาง ความกว้างหน้าเท้าปกติแต่มีภาวะหัวแม่เท้าเกออกด้านข้าง (Hallux Valgus) เล็กน้อย ท่าวิ่งลงน้ำหนักกลางเท้า ถ้าวิ่งเร็วจะเลื่อนไปลงน้ำหนักที่หน้าเท้า ถ้าวิ่งช้าหรือล้ามากๆจะลงน้ำหนักที่ส้นเท้า

การลงเท้าขณะวิ่ง สวม Brooks Pure Cadence2

*หมายเหตุ ผู้เขียนพยายามทดสอบ,ทำความคุ้นเคย, หาข้อมูล เพื่อให้เขียนรีวิวอย่างเป็นกลางและรอบด้านที่สุด อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นนักวิ่งแนวกลางและไม่ได้เป็นกูรูด้านรองเท้าวิ่ง การรีวิวต่อไปนี้จึงเป็นไปในลักษณะเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังเท่านั้น หากมีความรู้สึกหรือความเข้าใจบางอย่างที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ อย่างไรก็ตาม หวังว่ารีวิวนี้คงช่วยประกอบการตัดสินใจให้เพื่อนๆได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ
========================================================

ขั้นตอนการรีวิว จะสำรวจว่าผู้ผลิตอ้างสรรพคุณเช่นไร แล้วทดสอบสรรพคุณนั้น ไล่เรียงทีละหัวข้อ สำหรับ PureCadence2 ผู้ผลิตได้อ้างสรรพคุณไว้ 3 ข้อใหญ่ดังนี้คือ

1) การป้องกันข้อเท้าพลิกเข้า over-pronation
2) ความกระชับกับเท้า, ความเป็นอิสระของนิ้วเท้า และ
3) แรงสะท้อน, การออกแบบเพื่อให้นักวิ่งลงน้ำหนักที่หน้าเท้าหรือกลางเท้า

จากนั้นจะเพิ่มเติมผลการทดสอบหรือข้อมูลของคุณสมบัติอื่นๆ (ถ้ามี) และปิดท้ายด้วย Executive Summary
========================================================

คุณสมบัติ การป้องกัน over-pronation ของ Brooks Pure Cadence2

1) การป้องกันข้อเท้าพลิกเข้า (over-pronation)

ก่อนหน้านี้เรามีรองเท้าซ้อมคู่หนึ่ง คือ Mizuno Wave Nexus ที่ออกแบบมาสำหรับคนที่มีการลงเท้าแบบ over-pronation (ข้อเท้าพลิกเข้าด้านในดังรูปขวามือ-ซึ่งมักเกิดกับผู้มีเท้าแบน) ปานกลาง สิ่งที่รู้สึกได้คือ พื้นรองเท้าด้านในจะนูนขึ้นมาในบริเวณอุ้งเท้า ดังนั้นข้อเท้าจะไม่สามารถพลิกเข้าได้ เพราะอุ้งเท้าโดนหนุนอยู่

แต่สำหรับ PureCadence2 จะป้องกันการพลิกด้วยการใช้พื้นรองเท้าที่มีความแข็งต่างกัน ที่เรียกว่า เทคโนโลยี PDRB แทน ดังรูปซ้ายมือ ผู้ใส่จะไม่รู้สึกถึงการเสริมอุ้งเท้าใดๆจากด้านในเลย

เราสามารถทดสอบประสิทธิภาพข้อนี้ได้โดยการวิ่งไกลระดับฮาล์ฟมาราธอน เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราใส่รองเท้าแข่งทั่วไป ซึ่งไม่มีคุณสมบัติป้องกันข้อเท้าพลิก หลังแข่งฮาล์ฟมาราธอนเสร็จ จะมีอาการเจ็บข้อเท้าเล็กน้อย และ/หรือ เส้นเลือดฝอยบริเวณใต้ตาตุ่มด้านในแตก เสมอ

ผลการทดสอบ 
หลังจากใส่ PureCadence2 วิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่เวียงจันทน์ระยะ 21.3 กม.เสร็จ พบว่าเท้าปกติทุกประการ ไม่มีอาการใดๆที่ระบุมาข้างต้น ไม่ต่างจากที่ใส่ Mizuno Wave Nexus วิ่ง

สรุป PureCadence2 มีประสิทธิภาพป้องกันข้อเท้าพลิกเข้าได้จริง แม้จะไม่รู้สึกถึงการหนุนอุ้งเท้า
========================================================

รีวิว รองเท้า Brooks Pure Cadence2

2) ความกระชับกับเท้า, ความเป็นอิสระของนิ้วเท้า

PureCadence2 ให้ความสำคัญกับความกระชับกับเท้าตามปรัชญาของรองเท้า Minimalist โดยใส่เทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ถึง 3 ประการดังรูปคือ

1. Anatomical Last: ออกแบบให้ตัวรองเท้ามีลักษณะใกล้เคียงเท้ามากขึ้น นั่นคือมีส่วนที่ยาวที่สุดอยู่ตรงกับนิ้วโป้ง (ไม่ใช่นิ้วชี้ ) แล้วค่อยๆลาดลงมา จึงโอบกระชับเท้าได้ดีกว่า

2. Nav Band: มีแถบยางยืดโอบรอบช่วงกลางเท้า เพื่อให้เท้ากระชับกับรองเท้ายิ่งขึ้น และใช้ได้กับเท้าทุกแบบทุกขนาด

4. Toe Flex: พื้นรองเท้าช่วงใต้นิ้วโป้งแยกเป็นสองส่วน เพื่อให้นิ้วโป้งและนิ้วที่เหลือเป็นอิสระต่อกัน และเพื่อให้เกิดความสมดุลตามธรรมชาติ การใช้วัสดุที่ให้ตัวได้ทำให้การถีบเท้าส่งทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รองเท้ามีรูปร่างรีๆ แคบๆตามประสารองเท้าสไตล์ minimalist ดูน่าหวาดหวั่นต่อคนที่มีเท้าแบบข้าพเจ้ายิ่งนัก เพราะกระดูกโคนนิ้วโป้งจะปูดออกมาจนอาจเสียดสีและทำให้เจ็บได้ ถ้าทรงรองเท้าตรงส่วนของหน้าเท้าไม่กว้างพอ แบบที่เราเคยเป็น เมื่อใส่รองเท้า Nike Zoom Structure+14 วิ่งยาวเกิน 12 กม.

กระดูกโคนนิ้วโป้งปูด

ผลการทดสอบ 
- แม้เชือกผูกรองเท้าจะถูกออกแบบมาเหมือนไม่สามารถปรับความตึงได้ดีเท่าที่ควร แต่ข้างเท้าตลอดจนหลังเท้าก็ถูกโอบกระชับอย่างดียิ่ง จนกลัวว่าจะดีเกินไป

- รองเท้าไม่มีรูสุดท้ายหรือที่เพจกล้วยเรียกว่ารูปริศนา แต่เท้าก็ไม่มีปัญหาเลื่อนขึ้นลง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ Nav Band หรือไม่

- รองเท้าแคบทำให้นิ้วเท้าเคลื่อนไหวไม่ได้ Toe Flex ไม่ได้ทำให้รู้สึกแตกต่างแต่อย่างใด

- หลังจากใส่ PureCadence2 วิ่งฮาล์ฟมาราธอนเพื่อทดสอบว่ารองเท้าทรงรี ๆที่ทำให้นิ้วเท้าเคลื่อนไหวซ้ายขวาไม่ได้และกระชับข้างเท้าอย่างยิ่ง จะมีปัญหากับเท้าเราหรือไม่ ก็น่าดีใจที่ไม่พบปัญหาใดเลย (เหลือเชื่อ!!)

สรุป PureCadence2 สำหรับผู้หญิงมีทรงรีแคบและกระชับแต่ไม่ทำให้เกิดการเสียดสีใดๆ 
========================================================


3) แรงสะท้อน, การออกแบบเพื่อให้นักวิ่งลงน้ำหนักที่หน้าเท้าหรือกลางเท้า 

ในฐานะรองเท้าแข่ง PureCadence2 นำเสนอเทคโนโลยี 2 ประการเพื่อเพิ่มความเร็ว

3. BioMoGo DNA: พื้นรองเท้าชั้นกลาง (midsole) ทำจากวัสดุที่สามารถปรับการดูดซับแรงและสร้างแรงสะท้อนที่เหมาะสมสำหรับนักวิ่งแต่ละคน ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า DNA

5. Ideal Heel: ออกแบบส้นเท้าให้ส่วนที่สัมผัสพื้นเลื่อนไปข้างหน้าจากรองเท้าทั่วไป 3 เซนติเมตร เพื่อให้จุด cg ของนักวิ่งอยู่ในตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพ เวลาในการแช่เท้าที่พื้นลดลง ช่วยเพิ่มความเร็ว

ผลการทดสอบ 
ทดสอบวิ่งทั้งในถนนลาดยาง, ถนนคอนกรีต, ลู่วิ่งยางสังเคราะห์ และลู่วิ่งสายพาน ได้ข้อสรุปดังนี้

- กรณีวิ่งลงน้ำหนักหน้าเท้า เช่นตอนซ้อมแบบ interval ซึ่งความเร็วสูงกว่าแข่ง 10K
รองเท้าจะมีแรงสะท้อนในจะหวะถีบเท้าส่งมากกว่ารองเท้าอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ใจว่าเกิดจากเทคโนโลยี DNA หรือเพราะพื้นรองเท้าทำจากยางแข็ง เด้งดี นอกจากนี้ศูนย์ถ่วงของรองเท้าทีแตกต่างจากรองเท้าอื่นยังทำให้เกิดการวิ่งที่ลื่นไหลไม่ติดส้น ไม่แช่เท้า โดยรวมทำให้ ”วิ่งเร็วได้เร็วขึ้น”

- กรณีวิ่งแบบลงน้ำหนักกลางเท้า เช่นวิ่ง 10K
แรกๆเมื่อยังไม่ชินจะรู้สึกหนักเหมือนเท้าโดนถ่วง ทั้งๆที่ PureCadence2 สำหรับเบอร์ 25.5มีน้ำหนักเพียง 218 กรัมเท่านั้น แต่เมื่อใส่วิ่งสัก 5 ครั้งและวิ่งยาวสักครั้งจะเริ่มชิน และทำความเร็วได้ดีขึ้นเล็กน้อยเพราะการ”เด้ง” ของพื้นรองเท้า

- กรณีวิ่งแบบลงน้ำหนักที่ส้น เช่นจ็อกกิ้ง หรือเมื่อวิ่งไกลจนล้า
รู้สึกเหมือน PureCadence2 เป็นหินที่ถ่วงเท้าให้ยิ่งช้าและล้าเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะใส่จนชินแค่ไหน ก็ยังเหมือนเดิม

- Ideal Heel ไม่ได้ทำให้ผู้ที่มีท่าวิ่งแบบ “ลงส้น” เลื่อนตำแหน่งการลงน้ำหนักมาข้างหน้าได้โดยอัตโนมัติ ใครมีธรรมชาติการวิ่งเช่นไร ก็ยังคงเป็นแบบนั้น

สรุป PureCadence2 เป็นรองเท้าที่เหมาะกับคนที่ลงน้ำหนักหน้าเท้าหรือกลางเท้าเท่านั้น ไม่เหมาะกับผู้ที่ลงน้ำหนักที่ส้นเท้าอย่างยิ่ง ยกเว้นคุณจะกำลังฝึกตัวเองเพื่อเปลี่ยนท่าวิ่ง
======================================================

ความเห็นเพิ่มเติม 
- รองเท้าลื่นอย่างแรง บนถนนที่เปียกน้ำ
- อันนี้ไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพรองเท้า แต่อยากบอกว่าแอบให้คะแนนตามประสาน้องเนยรักษ์โลก กับเทคโนโลยี MOGO ที่ออกแบบพื้นรองเท้าชั้นกลางให้ย่อยสลายได้ทางชีวภาพหลังจากฝังกลบ ลดปริมาณขยะได้เร็วกว่าของยี่ห้ออื่น 50 เท่า แปะๆๆๆ /เสียงปรบมือ
====================================================== 

Executive Summary – บทสรุปสำหรับผู้จนเวลา

PureCadence2 เป็นรองเท้าแข่งสไตล์ minimalist ที่เหมาะกับคนที่ลงน้ำหนักด้วยหน้าเท้าหรือกลางเท้าเท่านั้น เพราะจะเกิดการวิ่งที่ลื่นไหลไม่ติดส้น และเกิดแรงส่งมากกว่ารองเท้าปกติ ทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ anti-pronation สำหรับคนที่มีเท้าแบนหรือเท้าพลิกเข้าด้านใน โดยไม่ต้องใช้การเสริมอุ้งเท้า รูปทรงรองเท้าเพรียวกระชับแต่ไม่คับเกินจนเกิดการเสียดสีใดๆ

สำหรับผู้ที่วิ่งลงส้นเท้า ไม่แนะนำด้วยประการทั้งปวง (ยกเว้นคุณจะกำลังฝึกตัวเองเพื่อเปลี่ยนท่าวิ่ง) เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนวิ่งลากโซ่แบบนิชคุณตอนก่อนชนกำแพงในหนังเรื่อง 42.195 ก็ไม่ปาน


บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง: 
วิธีผูกเชือกรองเท้าวิ่ง สำหรับการบาดเจ็บที่เท้าแบบต่างๆ

No comments:

Post a Comment

*************************************************************************************
ผักกาดๆ ถ้าข้อความไม่ขึ้น นั่นแปลว่า blog คิดว่าข้อความของท่านเป็น spam ไม่ต้องกังวลค่ะ comment เหล่านี้จะตกไปอยู่ที่กล่อง spam รอให้เจ้าของ blog มาตรวจสอบ (ก็คือเรานั่นเอง ^ ^)
*************************************************************************************

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...