จากนี้เป็นเวลา 2 อาทิตย์จะใช้โพสต์นี้ เพื่อบันทึกการวิ่งทดสอบรองเท้า Brooks รุ่น PureCadence2 ซึ่งเป็นรองเท้าแข่งสไตล์ minimalist ที่มีการ support เพื่อคนที่มีเท้าแบบ over-pronator เช่นข้าพเจ้า และออกแบบมาให้เหมาะสำหรับคนที่วิ่งลงหน้าเท้า หรือที่เรียกว่า Forefoot strike
ข้อมูลผู้ทดสอบ: วิ่งลงเต็มเท้า สามารถวิ่งลงหน้าเท้าได้ในระยะไม่ไกล แต่ไม่ลงส้นเท้า(ถ้ายังไม่ล้าจนคุมท่าไม่อยู่) ความเร็ว 10K ประมาณ 5:20 ความเร็ว Tempo ประมาณ 5:30
ความรู้สึกก่อนวิ่ง
รองเท้าไม่มีรูปริศนา รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะยึดเท้าให้ไม่เลื่อนขึ้นลง
ขณะใส่เดินรู้สึกเหมือนถูกหนุนที่บริเวณ BOF
ลักษณะรองเท้าหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ไม่เหมือนรองเท้าทั่วไป เพราะออกแบบมาสำหรับ forefoot strike
ลิ้นรองเท้า design แปลกตา คือด้านหนึ่งติดกับตัวรองเท้าเลย อ่านจากรีวิวพบว่าเพื่อแก้ปัญหาลิ้นรองเท้าเลื่อนที่เกิดกับ PureCadence1
ทรงรองเท้าเพรียวเป็นทรงรี ไม่มีการบานออกตรงหน้าเท้า เหมือนรองเท้าวิ่งทั่วไป
รู้สึกกระดูกข้างนิ้วโป้งเท้าขวาโดนสัมผัส
หวั่นๆอยู่ว่าถ้าใส่วิ่งยาวจะมีปัญหาเหมือนตอนคู่ไนกี้หรือเปล่า ก็ต้องดูกันต่อไป
วิ่งบนสายพาน 5 กม.
ความเร็ว 9 kmph 2 กม., 10 kmph 2 กม., 11 kmph 1 กม.
เมื่อวิ่ง และลงหน้าเท้า ความรู้สึกถูกหนุนที่ BOF จึงหายไป
แต่ถ้าพยายามฝืนลงส้นเท้าจะรู้สึกถูกหนุนอีกครั้ง
ความสลิมของทรงรองเท้าไม่เกิดผลเสียอะไร รู้สึกสบายเท้าดี
วิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆเมื่อเพิ่มความเร็วขึ้น โดยเมื่อถึงระดับ 11 รู้สึกได้ถึงความเด้งส่งของรองเท้า
ทำให้ขาพับหลังขึ้นมาสูงกว่าปกติ แต่สิ่งที่แปลกใจคือ เสียงลงเท้าดังชัดเจน ในขณะที่ถ้าวิ่งด้วยรองเท้าอื่นบนสายพาน จะมีเสียงเพียงเบาๆเท่านั้นในความเร็วระดับนี้
วิ่งถนนคอนกรีต 80%+ ลาดยาง 20% 7.65 กม.
รู้สึกกินแรง วิ่งไม่ค่อยออก ทั้งๆที่รองเท้าค่อนข้างเบา
กม.ท้ายๆก่อนเข้ารั้ว AIT ลองวิ่งในระดับความเหนื่อยที่เกิน tempo
ปรากฏว่าได้ pace เฉลี่ยในกม.นั้น 5:45 ซึ่งถ้าเป็นรองเท้าอื่นควรได้ 5:20-5:30
เสียงลงเท้าดังจริงๆ
ท่าวิ่งดี ลื่นไหล ไม่แช่เท้า แต่ความเร็วไม่ได้
ตึงน่องนิดๆหลังจากพยายามลงหน้าเท้าตลอด
อยากวิ่งให้ชินกว่านี้ คิดว่าเป็นรองเท้าที่ดีในการฝึกวิ่งอย่างถูกวิธี แต่ต้องใช้เวลาฝึกฝนและทำความคุ้นเคย
ครั้งที่ 3
วิ่งสนามยางตาร์ตั้น โปรแกรม 200jog100*8
วิ่ง: 52.7, 51.6, 50.3, 49.4, 49.0, 50.0, 49.5, 49.0
จ็อก: 40.5, 45.9, 45.4, 46.6, 54.7, 50.1, 51.5
เป็นการยืนยันอีกครั้งว่ารองเท้าคู่นี้ เหมาะกับการวิ่งเร็ว จะเห็นว่าเราทำความเร็ว 200m ได้ดีกว่าปกติ
(แต่เป็นผลจากการยืดเวลาจ็อกด้วย ซึ่งจะได้เปรียบเทียบโดยใช้รองเท้าซ้อมคู่เก่าภายหลัง)
จริงๆโปรแกรมต้องวิ่ง 15 เที่ยว ซึ่งมั่นใจว่าิวิ่งต่อได้ แต่พอแค่นี้เพื่อดูลาดเลาก่อน
แต่ขณะวิ่งช้า เช่นช่วงคูลดาวน์ รู้สึกได้ว่าวิ่งยากกว่ารองเท้าธรรมดา
พี่วิเชียรซึ่งเป็นคนที่วิ่งลงหน้าเท้าแบบ 100% ได้ลองรองเท้าด้วย แกบอกว่าประทับใจมากเพราะรู้สึกเหมือนไม่มีส้นรองเท้ามากวนใจ วิ่งสนุก แต่ติดตรงทรงรองเท้าแคบไป เป็นไปได้ว่าเพราะเป็นรุ่นผู้หญิง ทำให้แคบกว่าเท้าผู้ชาย ส่วนเรื่องที่รองเท้าไม่มีรูปริศนา พี่วิเชียรบอกว่า รองเท้าสไตล์ forefoot จะไม่เน้นการผูกเชือกให้แน่นหนา จะปล่อยให้เท้าเป็นอิสระมากกว่า
ครั้งที่ 4
วิ่งฮาล์ฟมาราธอน 21.4 กม.
สภาพถนน คอนกรีต 30%+ ลาดยาง 70%
รู้สึกวิ่งไม่ค่อยออกแบบเดียวกับครั้งที่ 2 แต่ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่ได้ซ้อมเลย 6 วัน
ในครั้งที่ 2 รู้สึกล้าจนวิ่งได้แค่ 8 กม. แต่ครั้งนี้ไม่ล้าและชินกับความรู้สึกของการใส่รองเท้านี้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่น่ายินดีคือ แม้ทรงรองเท้าจะเพรียว แนบเท้า จนรู้สึกว่ากระดูกข้างนิ้วโป้งเท้าขวาโดนสัมผัส แต่เมื่อใส่วิ่งยาวก็ไม่พบปัญหาใดๆเลย
หลังวิ่งเสร็จ 1 วัน ตรวจดูอาการบาดเจ็บ ก็พบว่าไม่มี
ข้อเสียอันนึงที่เพิ่งพบคือ เมื่อวิ่งบนถนนลาดยางที่เปียก จะลื่นอย่างรู้สึกได้
ครั้งที่ 5
ถนนคอนกรีต 100%
วิ่งเร็ว 2 กม. และ วิ่งช้า 400 เมตร
หลังจากเริ่มคุ้นเคย จึงลองวิ่งทดสอบความรู้สึกบนถนนคอนกรีตอีกครั้ง
ผลที่ได้เหมือนกับที่วิ่งในสนามยาง นั่นคือ
ถ้าวิ่งเร็ว จะรู้สึกมีแรงเด้งส่งมากกว่ารองเท้าปกติ เนื่องจากท่าวิ่งเร็ว เราจะวิ่งลงหน้าเท้า
แต่ถ้าวิ่งช้า-จ็อก จะไม่สามารถลงหน้าเท้าได้ ดังนั้นจะรู้สึกว่าส้นเท้าจม วิ่งไม่ออก หนักเท้ากว่ารองเท้าปกติ
สรุปได้ว่า รองเท้าคู่นี้ เหมาะที่จะใช้วิ่งเร็ว-วิ่งลงหน้าเท้า ซึ่งเราจะลองทดสอบอีกครั้งโดยการใส่ลงแข่ง 10K
ครั้งที่ 4
วิ่งฮาล์ฟมาราธอน 21.4 กม.
สภาพถนน คอนกรีต 30%+ ลาดยาง 70%
รู้สึกวิ่งไม่ค่อยออกแบบเดียวกับครั้งที่ 2 แต่ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่ได้ซ้อมเลย 6 วัน
ในครั้งที่ 2 รู้สึกล้าจนวิ่งได้แค่ 8 กม. แต่ครั้งนี้ไม่ล้าและชินกับความรู้สึกของการใส่รองเท้านี้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่น่ายินดีคือ แม้ทรงรองเท้าจะเพรียว แนบเท้า จนรู้สึกว่ากระดูกข้างนิ้วโป้งเท้าขวาโดนสัมผัส แต่เมื่อใส่วิ่งยาวก็ไม่พบปัญหาใดๆเลย
หลังวิ่งเสร็จ 1 วัน ตรวจดูอาการบาดเจ็บ ก็พบว่าไม่มี
ข้อเสียอันนึงที่เพิ่งพบคือ เมื่อวิ่งบนถนนลาดยางที่เปียก จะลื่นอย่างรู้สึกได้
ครั้งที่ 5
ถนนคอนกรีต 100%
วิ่งเร็ว 2 กม. และ วิ่งช้า 400 เมตร
หลังจากเริ่มคุ้นเคย จึงลองวิ่งทดสอบความรู้สึกบนถนนคอนกรีตอีกครั้ง
ผลที่ได้เหมือนกับที่วิ่งในสนามยาง นั่นคือ
ถ้าวิ่งเร็ว จะรู้สึกมีแรงเด้งส่งมากกว่ารองเท้าปกติ เนื่องจากท่าวิ่งเร็ว เราจะวิ่งลงหน้าเท้า
แต่ถ้าวิ่งช้า-จ็อก จะไม่สามารถลงหน้าเท้าได้ ดังนั้นจะรู้สึกว่าส้นเท้าจม วิ่งไม่ออก หนักเท้ากว่ารองเท้าปกติ
สรุปได้ว่า รองเท้าคู่นี้ เหมาะที่จะใช้วิ่งเร็ว-วิ่งลงหน้าเท้า ซึ่งเราจะลองทดสอบอีกครั้งโดยการใส่ลงแข่ง 10K
เข้ามาอ่าน ^_^
ReplyDeleteขอบคุณค่ะคุณฮั้ว
Deleteครบ 2 อาทิตย์แล้ว จะสรุปผล เขียนลงในเพจกล้วยอีกทีค่ะ
ติดตามกันต่อไปนะคะ
ผมพึ่งได้รับ Pure Flow2 จากพี่ตั้ม (Tum Hype) เป็นรองเท้าที่แปลกที่ผมไม่เคยรู้จีกมาก่อน ซึ่งก่อนหน้าใช้ Asics GT1000 ความรู้สึกแรก วิ่งจนเท้าปัดพื้น 2 กิโลแรก ทำได้ Pace 3 min/km. หลังจากนั้นเริ่มอยู่ตัวที่pace 4 ต้นๆครับ ผมจะเขียนรีวิวFlow2(ในมุมมองของผม)ด้วยดีกว่า เผื่อเป็นประโยชน์ให้นักวิ่งท่านอื่นประกอบการตัดสินใจต่อไปครับ ^^ (ModX)
ReplyDelete