งานนี้ทำให้ได้บทเรียนใหม่สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างเรา "ถ้าเจ็บก็อย่าฝืน" อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าเราเจ็บมาก่อน จริงๆก็เจ็บเล็กเจ็บน้อยมาตั้งแต่เปลี่ยนท่าวิ่งแล้ว คาดว่าเพราะวิ่งผิดท่า ลงน้ำหนักแบบไม่ยอมเซฟข้อเท้า แต่พอเห็นว่าทายาก็ยุบเลยไม่ยอมพัก หลังสุดคือซ้อม 14 กม. อันนี้เล่นจริง เจ็บจริง แบบไม่ต้องง้อสตั๊นท์เลย ขนาดเดินยังแปล๊บๆที่เข่าขวาเป็นระยะ แต่ด้วยความอยากวิ่งเพราะอุตส่าห์ซ้อมมาแล้ว ทำให้เราดันทุรังมาแข่งจนได้
ความบู้บี้มาเยือนตั้งแต่ก่อนวอร์มอัพ เพราะตาเจ้ากรรมดันมาเจ็บเอาตอนนี้ คงเพราะนอนน้อยตาเลยแห้ง ต้องตัดใจถอดคอนแทคเลนส์ทิ้งตั้งแต่ก่อนวิ่งทั้งๆที่ไม่ได้มีอันใหม่มาเปลี่ยนและไม่ได้เตรียมแว่นมา T_T ไม่เป็นไร...รีบวอร์มอัพดีกว่า อากาศเย็นต้องวอร์มนานๆหน่อย แต่แค่ก้าวแรกของการวิ่งแทนที่จะอุ่นก็หนาวขึ้นมาทันใด มันเจ็บอ้ะ !!! ก้าวยาวไม่ได้เลย จะเจ็บหัวเข่าแปล๊บขึ้นมาทันที กล้ามเนื้อหลังขาอ่อนก็เจ็บ ฮือๆๆ เค้าไม่ยอม เค้าจะวิ่งอ้ะ ลองก้าวสั้นๆ วิ่งเหยาะๆสปีดอากงก็เห็นว่าพอไหว เลยใช้สปีดนี้วอร์มจนครบเวลา ในใจแอบหวังลึกๆเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่า เจ็บๆแบบนี้ วิ่งๆไปเดี๋ยวก็หายเอง เหมือนรถได้น้ำมันเครื่องเช่นนั้นแล
เส้นทางวิ่งส่วนใหญ่ผ่านสวนท่าทางคงจะร่มรื่นไม่น้อย มีบางช่วงต้องข้ามคลอง และบางช่วงเขาว่ากันว่าแวะเข้าไปในวัดไร่ขิงด้วย ใช้คำว่า "น่าจะ" และ "เขาว่ากันว่า" เพราะข้าพเจ้ามองไม่เห็น มองไปก็เวียนหัวเปล่าๆ object เดียวที่ตาสามารถโฟกัสได้ก็คือถนน งานนี้เลยก้มมองถนนตลอดทาง 555+
อากาศดี ไร้ควันจากท่อไอเสียและไม่ต้องคอยระวังรถเหมือนวิ่งในกรุงเทพ น้ำถึง ต้องใช้คำว่าถึงโพดๆน่าจะถูกต้องกว่า เพราะตลอดระยะ(ที่เขียนไว้ว่า) 14 กม. มีจุดให้น้ำประมาณ 10 จุดเห็นจะได้ (คิดว่าอาจเป็นคอนเส็ปของโรงเรียนภปร.ที่เน้นเลี้ยงดี สังเกตได้จากนักเรียนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยน่ารักกันหลายคน ^ ^) การบอกระยะก็เข้าท่า เพราะบอกทุกกิโลเมตรโดยพ่นกันบนถนนเลย เป็นคุณูปการแก่คนสายตาสั้นอย่างเรายิ่งนัก จะมีที่ติก็อย่างเดียว...บอกไว้ในโบรชัวร์ว่า 14 แต่ระยะจริงไม่ถึง 13 กม. นักวิ่งเซ็ง เพราะเตรียมตัวมาอีกแบบ ขนาดเราที่วิ่งมาแบบสะบักสะบอมแต่พอเห็นว่าระยะหายก็ไม่ได้ดีใจซักนิด เพราะอยากวิ่งเต็ม 14 กม. อยากรู้ว่าเวลาวิ่งแข่งกับเวลาซ้อมจะแตกต่างกันเท่าไหร่ นักวิ่งก็เป็นแบบนี้ ถ้าบอกไว้ว่า 10 แล้วแถมให้เป็น 11 ก็บ่นว่าเหนื่อยจะแย่ แต่ถ้าบอกไว้ว่า 14 แล้วลดให้เหลือ 13 ก็บ่นว่ายังไม่ทันเหนื่อยเลย นั่นเพราะเขาเตรียมแผนการวิ่งมาแล้วว่าจะผ่อนตอนไหนจะเร่งตอนไหน
เราวิ่งด้วยความสะบักสะบอมอย่างที่บอก เพราะต้องพยายามทำความเร็วให้ได้ตามที่ซ้อม ซึ่งเร็วกว่าสปีดอากงอยู่พอสมควร นั่นหมายความว่าเราต้องฝืนสังขารวิ่ง ความหวังลมๆแล้งๆเรื่องรถได้น้ำมันเครื่องก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นจริง มีบางช่วงเท่านั้นที่เกิดอาการวิ่งลอย นั่นคือเท้ามันสับไปเองเหมือนอยู่นอกเหนือการควบคุมและเร็วขึ้นจนแซงนักวิ่ง(แนวหลัง)ได้เป็นสิบคน แต่นั่นก็แค่ช่วงกม.7-9 แล้วก็หายไปเฉยๆ หลังจากนั้นเราก็ต้องฝืนสังขารวิ่งจนเข้าเส้นชัย สถิติบู้บี้มาก แต่ก็ภูมิใจ
งานนี้มีจับรางวัลด้วย ตอนแรกนึกว่าต้องรอเค้าจับกันบนเวที ที่ไหนได้...ให้จับเองเหมือนสอยดาวหลังจากเข้าเส้นชัยเลย รางวัลใหญ่สุดคือมอเตอร์ไซค์เชียวนะ
เปิดฉลากออกมา พบคำว่า "น้ำดื่ม"...อื่ม...บู้บี้กันเข้าไป T_T ชั้นจะเอาไปทำไมยะ น้ำดื่มเนี่ย //อีโม่ค้อนทุบหัว ไปหาน้ำมะพร้าวกินแก้ช้ำในดีกว่า เอกลักษณ์ของงานเลยนะเนี่ย
สงสารคุณพี่คนเฉาะมะพร้าวมาก ต้องเฉาะมะพร้าวเป็นร้อยๆลูก มือเป็นระวิงไม่ได้หยุดเลย เสียวแกจะเบลอเฉาะมือตัวเองเข้าจริงๆ ส่วนคุณพี่ผู้หญิงที่ท้าวสะเอวอยู่ก็งานหนักไม่แพ้กันเพราะต้องยกมะพร้าวที่แช่น้ำแข็งมาเย็นเจี๊ยบ ส่งให้ทีมเฉาะอย่างไม่ขาดสาย ในรูปคือแกหนาวมือมากจนต้องพักแป๊บนึง ต้องขอบคุณพวกท่านที่ทำให้นักวิ่งได้กินน้ำมะพร้าวหวานชื่นใจมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ผลแห่งการฝืนสังขารตัวเองก็คือ อิชั้นแทบเดินไม่ได้ กล้ามเนื้อหน้าขาที่ไม่เคยเจ็บก็เจ็บ หน้าแข้งก็เจ็บ ข้อเท้าก็เจ็บ สรุปคือเจ็บทั้งขา คืนวันอาทิตย์ข้าพเจ้าสลบเหมือด และหลับๆตื่นๆในวันจันทร์ทั้งวัน ไม่เอาอีกแล้วฝืนวิ่งทั้งเจ็บๆแบบนี้ บอบช้ำมากจริงๆ
Net time: 84 นาที 30 วินาที, ระยะทาง: 12.4 กม.
ความเร็วเฉลี่ย: 6:49 นาที/กิโลเมตร
ดีขึ้นหรือยังครับพี่ ผมว่าแล้วต้องเจ็บแน่ๆ พักบ้างนะครับ
ReplyDeleteงานนี้มีตากล้องส่วนตัวไปด้วย ภาพเยอะเลย ฮาฮา
เศร้าเลย
ReplyDeleteไม่อยากพักแต่ก็ต้องพัก T_T
ตากล้องส่วนตัวของพี่ถ่ายภาพใช้ได้จริงๆ...ใช้ไปซื้อโอเลี้ยงนะ //อีโม่ค้อนทุบหัว
http://image.ohozaa.com/i/19f/dsc_3449.jpg
ReplyDeleteพี่ใช่ป่ะครับ ภาพไม่ชัด
แม่นแล้วจ้า แต๊งกิ้วหลายเด้อ
ReplyDelete