พี่ชายนักวิ่งท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ช่วงหนึ่งของชีวิต เกิดอาการเบื่อวิ่งอย่างไม่มีเหตุผล จนต้องหันไปเล่นโยคะและว่ายน้ำแทน ตามประสาคนเสพติดเอ็นโดฟิน พี่แกลงสระเกือบทุกวันอยู่เดือนนึง จนสามารถว่ายน้ำต่อเนื่องได้ระยะทางเป็นกิโล(เมตร) และทำเวลาดีเสียด้วย ตอนนั้นฟังแล้วก็ได้แต่ชื่นชมในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสของเค้า
แล้ววันนึง อาการเบื่อวิ่งก็คุกคามเราเข้าบ้างจนได้ เราวิ่งน้อยลงๆ บางครั้งเปลี่ยนชุด ใส่รองเท้าเรียบร้อย แต่พอเดินออกมาถึงหน้าบ้านก็เปลี่ยนใจซะงั้น สาเหตุหลักคงมาจากหน้าที่การงานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนเวลาที่ควรจะว่างให้กลายเป็นไม่ว่างแล้ว เมื่อความวุ่นวายที่ยาวนานผ่านไป ก็พบว่ามันได้ทำลาย Habit การเป็นนักวิ่งของเราไปด้วย ครั้นจะสร้างขึ้นใหม่ก็พบอีกว่า หาแรงบันดาลใจ (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง) ไม่เจอเสียแล้ว T_T
เหมือนฟ้ามาโปรด น้องชายนักปั่นคนหนึ่งเสนอโปรเจค Touring ลาวใต้ขึ้นมา เส้นทางยังไม่กำหนด ช่วงเวลาเดือนไหนก็ยังไม่กำหนด แต่ไฟมาเต็มทั้งคนชวนและคนถูกชวน!! (มาได้ไงฟระ แต่ก็มาแล้ว ว่ะฮ่าๆๆ) อันที่จริงนี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝันมานานแล้ว เพราะหลังจากพาเพนกวิ้นออกทริปได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ เราก็มั่นใจว่า การปั่น Touring ข้ามประเทศแบบที่เห็นเสือตัวเกรียมๆ หน้าแก่ๆ (แก่ปสก.น่ะนะ ^ ^") เค้าทำกัน มันไม่ใช่ความฝันที่เกินเอื้อมแน่นอน แค่รอโอกาสเหมาะๆ กับเตรียมตัวเองให้พร้อมเมื่อโอกาสนั้นมาถึงเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้เราจึงเริ่มซ้อมปั่นอย่างจริงจัง และถือโอกาสบรรจุการวิ่งลงในตารางซ้อมด้วยอย่างไม่รีรอ เริ่มต้นที่ปั่น 100 กม. และวิ่ง 25 กม.ต่อสัปดาห์เพื่อให้เป็นเป้าหมายที่เอื้อมถึง แน่นอนว่าการซ้อมทั้งปั่นและวิ่ง ต้องการเวลาเป็นอันมาก ดังนั้นโครงการ "ปั่นไปวิ่งไป" จึงถูกคิดค้นขึ้นเพื่อ trade off เวลาพักผ่อนสุดสัปดาห์-ท่องเที่ยว-ซ้อมปั่น-ซ้อมวิ่ง ให้คุ้มค่าที่สุด ตั้งใจไว้ว่าจากนี้ไป ในแต่ละเดือน จะต้องปั่นไปวิ่งให้ได้อย่างน้อย 1 ครั้ง...จะทำได้ตลอดรอดฝั่งแค่ไหน...จะสามารถพลิกวิฤตเบื่อวิ่ง ให้กลายเป็นโอกาสทัวร์ริ่งได้หรือไม่...ก็ลองติดตามกันต่อไปค่ะ
เจิมด้วยสวนผึ้ง
เราเลือกที่จะเปิดศักราช"ปั่นไปวิ่งไป"ที่นี่ เหตุผลแรกเพราะตั้งใจจะไปวิ่งที่งานจอมบึงมาราธอน โดยตั้งใจจะพักที่สวนผึ้งก่อนในคืนวันศุกร์ แล้วเช้าวันเสาร์ค่อยปั่นกลับไปที่จอมบึง ค้างคืนนึงแล้ววิ่งมินิฯเช้าวันอาทิตย์ แต่เมื่อใกล้วัน กลับพบว่า ทำยังไงก็ไม่มีอารมณ์จะแข่ง อยากวิ่งเงียบๆ สวยๆ สบายๆ มากกว่า เมื่อรู้ความต้องการของตัวเองชัดเจนเช่นนี้เราจึงไม่คิดจะฝืน และเปลี่ยนแผนมาวิ่งเองในสวนผึ้ง ...นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะการปั่นในแถบภาคตะวันตกครั้งแรก แบบไปมันดุ่ยๆ เล่นเอาอ่วมไปเหมือนกัน ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป
โครงการปั่นไปวิ่งไปนี้ เราตั้งกฏให้ตัวเองว่าจะต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยที่สุด ถ้าเป็นไปได้ให้ปั่นล้วนๆ รองลงมาคือขนส่งมวลชนเรียง priority ตามจำนวนผู้โดยสาร นั่นหมายความว่ารถไฟ จะเป็นทางเลือกแรกของเรา ส่วนเครื่องบิน อันนี้ไม่นับ หนึ่งคือไม่มีตังค์ สองคือละเมิดกฏของ Green Runner อย่างแรง เพราะเป็นการเดินทางที่มี carbon footprint สูงที่สุดแล้วในบรรดาขนส่งมวลชนทั้งปวง
รถทัวร์ริ่งในฝัน แต่ตอนนี้ปั่นเพนกวิ้นไปก่อน ^ ^
เจิมด้วยสวนผึ้ง
เราเลือกที่จะเปิดศักราช"ปั่นไปวิ่งไป"ที่นี่ เหตุผลแรกเพราะตั้งใจจะไปวิ่งที่งานจอมบึงมาราธอน โดยตั้งใจจะพักที่สวนผึ้งก่อนในคืนวันศุกร์ แล้วเช้าวันเสาร์ค่อยปั่นกลับไปที่จอมบึง ค้างคืนนึงแล้ววิ่งมินิฯเช้าวันอาทิตย์ แต่เมื่อใกล้วัน กลับพบว่า ทำยังไงก็ไม่มีอารมณ์จะแข่ง อยากวิ่งเงียบๆ สวยๆ สบายๆ มากกว่า เมื่อรู้ความต้องการของตัวเองชัดเจนเช่นนี้เราจึงไม่คิดจะฝืน และเปลี่ยนแผนมาวิ่งเองในสวนผึ้ง ...นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะการปั่นในแถบภาคตะวันตกครั้งแรก แบบไปมันดุ่ยๆ เล่นเอาอ่วมไปเหมือนกัน ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป
โครงการปั่นไปวิ่งไปนี้ เราตั้งกฏให้ตัวเองว่าจะต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยที่สุด ถ้าเป็นไปได้ให้ปั่นล้วนๆ รองลงมาคือขนส่งมวลชนเรียง priority ตามจำนวนผู้โดยสาร นั่นหมายความว่ารถไฟ จะเป็นทางเลือกแรกของเรา ส่วนเครื่องบิน อันนี้ไม่นับ หนึ่งคือไม่มีตังค์ สองคือละเมิดกฏของ Green Runner อย่างแรง เพราะเป็นการเดินทางที่มี carbon footprint สูงที่สุดแล้วในบรรดาขนส่งมวลชนทั้งปวง
บ้าน-ชุมทางตลิ่งชัน-ราชบุรี
เช้าวันศุกร์ เราปั่นออกจากบ้านแถวบางอ้อ ลัดเลาะเข้าท้ายซอยจรัญ 95/1 มาออกถนนเลียบทางรถไฟสายสีแดง ถนนเส้นนี้ยังไม่ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้รถไม่มาก จะติดอยู่ก็เพียงฝุ่นอันฟุ้งตลบ ชนิดทำให้น้ำตาและขี้มูกไหลรินเท่านั้นเอง ที่สุดทางจะมีถ.เลียบทางรถไฟตลิ่งชันขวางหน้า เลี้ยวขวาไปไม่ไกลก็เจอสถานีชุมทางตลิ่งชัน สร้างใหม่สวยงามโอ่โถงยิ่งนัก
เนื่องจากเป็นชุมทาง จึงทำให้ในขาออก เราสามารถไปได้ทั้งภาคใต้และภาคตะวันตก ส่วนขาเข้า เราสามารถไปได้ถึงสถานีธนบุรี หัวลำโพง และบางซื่อ โดยไม่ต้องขี่รถพับฝ่าถนนนรกแตกในกรุงเทพ...แค่คิดก็สนุกแล้ว ^_^
เราจับรถไฟธรรมดาขบวน 255 ธนบุรี-หลังสวน ที่เป็นรถไฟฟรีจากภาษีประชาชน (แต่ต้องติดต่อซื้อตั๋วที่สถานีก่อนรถออก เหมือนปกตินะคะ) ที่ตามกำหนดต้องมาถึงตอน 7:43 น.แต่มาจริง 8:23 น. ^ ^" รถค่อนข้างว่างเพราะเป็นเช้าวันธรรมดา รถพับ 2 คันของพวกเราจึงหาที่วางตรงอ่างล้างหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น จากนั้นก็หาที่นั่งใกล้ๆเพื่อคอยชำเลืองดูเป็นระยะ
หมายเหตุ สำหรับคนที่มีรถจักรยานชนิดอื่นที่ไม่ใช่รถพับ คุณสามารถนำขึ้นรถไฟได้เหมือนกัน แต่ต้องเป็นขบวนประเภท "รถเร็ว" เท่านั้น เพราะจะมีตู้สัมภาระ เสียค่าระวางตามน้ำหนัก ประมาณ 100 บาท
นั่งไปเพลินๆ กิน "ก๋วยเตี๋ยว 10 บาท ร้อนๆ" ที่พ่อค้าหิ้วขึ้นมาขายที่สถานีนครปฐม พอได้ฟีลลิ่ง (เรื่องกินๆในทริป จะเขียนแยกไปต่างหากอีกโพสต์นึงละกัน เล่าในนี้จะยาวไปเพราะกินเยอะ 555+) เผลอแป๊บเดียวก็ถึงสถานีราชบุรีแล้ว นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 10:46 น.
บ้าน-ชุมทางตลิ่งชัน http://www.endomondo.com/workouts/287231715/862998
ราชบุรี-สวนผึ้ง
ออกจากสถานี แวะกินก๋วยเตี๋ยวไข่เจ้าดังของจังหวัดก่อนเพื่อเตรียมสู้ศึก (ร้านอยู่แถวนั้นพอดี) กว่าจะกินเสร็จก็เกือบเที่ยง โชคดีที่ช่วงนั้นแม้แดดจะแรงแต่อากาศไม่ค่อยร้อน ดู route ที่เตรียมมาจากบ้านใน app GPX viewer แล้วเริ่มต้นออกปั่น
ออกนอกเมืองไปตามถ. ศรีสุริยวงศ์ เมื่อตัดกับถ.เพชรเกษมก็พบปัญหาเล็กน้อย เพราะกำลังมีการก่อสร้างสะพานลอย ไม่สามารถจูงรถข้ามทางม้าลายที่แยกได้ตามปกติ เมื่อมองดูซ้ายขวาจนสุดสายตาก็ยังไม่พบช่องทางที่เจาะไว้ให้คนข้าม เราจึงตัดสินใจจูงรถข้ามถนนที่เหลือเพียงเลนเดียว ในขณะที่รถจำนวนมากถูกบีบให้ไหลตามกันมาไม่ขาดสาย ต้องคอยอยู่นานแต่ก็ข้ามได้ในที่สุด
เราใช้ทางหลวงสาย 3208 ราชบุรี-สวนผึ้ง ถนนช่วงต้นๆยังมีเกาะกลาง และกว้างเว่อร์ๆ แต่เมื่อมาได้ซัก 10 กม. ถนนก็หดลงเหลือเพียง 4 เลนสวนกัน ไหล่ทางค่อนข้างแคบ แม้รถจะไม่มาก แต่ก็มีรถบรรทุกแล่นมาใกล้พอให้ได้เสียวเป็นระยะ
นึกถึงคำพูดของน้องชายอดีตนักปั่นคนนึงที่บอกว่า เมื่อก่อนเคยปั่นตามถนนหลวง มีรถบรรทุกโลมเลียแบบนี้เหมือนกัน แล้วพอกลับมาคิดย้อนหลัง ก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆไร้สาระจริงๆ ...ก็คงจะจริงอย่างที่เค้าว่าแหละ... แต่ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะมองย้อนกลับไปตรงจุดไหน มนุษย์เราก็พร้อมที่จะไม่พึงใจในอดีตทั้งนั้น แม้วันนี้ยังพอใจ แต่วันหน้าก็อาจไม่ใช่แล้ว ดังนั้น ถ้าวันนี้เราเลือกที่จะหอบจักรยานใส่รถยนต์แล้วขับไปสวนผึ้งโดยตรงเลย เพื่อจะไม่ต้องผจญภัยง่าวๆแบบนี้ วันหน้าเราอาจนึกเสียใจ ผิดหวังในความขี้ขลาดของตัวเองก็เป็นได้
เราพักขาครั้งแรกที่กม. 19 แถวๆวัดเขานกกระจิบ เป็นปั๊มปตท.ที่ตั้งอยู่กลางถนนอันแห้งแล้ว ดุจดั่งโอเอซิสก็ไม่ปาน รู้สึกเหนื่อยและหนืดอย่างผิดธรรมชาติ เพิ่งรู้ทีหลังเมื่อโหลด workout ลง endo ว่าตั้งแต่ออกจากตัวเมือง เราก็ปั่นขึ้นเขามาโดยตลอด และจะขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชัฏป่าหวายที่กม. 43 นู่น
ออกจากเขตเมืองของต.ชัฎป่าหวาย ถนนแผ่เป็น 8 เลน ให้เราปั่นอย่างสบายใจอีกครั้ง แม้จะแคบลงเป็น 4 เลนในที่สุด แต่รถน้อย ร่มรื่น เราแวะพักขาและซื้อเสบียงตรงเซเว่นที่แยกภูผาผึ้ง เพราะรู้มาก่อนว่าในหุบผาแห่งรีสอร์ทนี้ จะไม่ค่อยมีร้านขายของชำ และถึงมีก็เป็นร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างไกล ไม่ใช่เดินไปซื้อปากซอยได้เหมือนที่ประเทศกรุงเทพบ้านเฮา
เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้ามา ทัศนียภาพสองข้างทางก็เปลี่ยนจากที่ราบเป็นภูเขาทันตาเห็น มีเนินขึ้นๆลงๆ ปั่นสนุก (มีเข็นบ้างในเนินแรก) สวยงาม รถน้อย ถึงที่พักเอาเกือบ 5 โมงเย็น
ราชบุรี-สวนผึ้ง http://www.endomondo.com/workouts/287319013/862998
พนาลีโฮมแอนด์แคมป์ปิ้ง
เราเลือกที่นี่เพราะมีบริการเต้นท์ให้เช่า เต้นท์สภาพดีมีเครื่องนอนให้ครบ และมีห้องอาบน้ำสำหรับคนนอนเต้นท์เป็นสัดเป็นส่วน มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย จริงๆในสวนผึ้งคงมีรีสอร์ทประมาณนี้หลายแห่ง แต่เราไม่มีเวลาหาข้อมูลมากนัก และเมื่อ search ดูคำวิจารณ์ในอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็ไม่พบว่าเคยถูกร้องเรียนแต่อย่างใด
นับเป็นการเลือกที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะรีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่สวยงาม บนเชิงเนินริมถนนใหญ่ เมื่อมองลงมาจะเห็นภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ไกลๆที่ฝั่งตรงข้าม จะไปเที่ยว Scenery Resort เดอะมัสท์ของสวนผึ้ง หรือที่เที่ยวธรรมชาติอย่างบ่อคลึง ก็ไม่ไกลเกินเกินไป ใครสนใจตามรอยลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.panalee.com นะคะ
ตามหาต้นผึ้ง
ที่เที่ยวสองแห่งที่พูดถึงในย่อหน้าที่แล้วนั้น เราได้แวะไปชะโงกพอเป็นพิธี เพราะส่วนตัวไม่ได้รักแกะ จนถึงกับอยากเข้าไปคลุกคลี-ถ่ายรูป-ให้อาหารมัน ส่วนบ่อน้ำร้อน ถึงอยากแช่ก็คงไม่เหมาะ เพราะต้องปั่นยาน ขี้เกียจขนเสื้อผ้าไปเปลี่ยนให้รุงรัง เอาเข้าจริงหลังจากหาข้อมูลที่เที่ยวในสวนผึ้งแล้ว มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่เราอยากไป หนึ่งคือแก่งส้มแมว ซึ่งเคยประทับใจตอนมาเที่ยวคร้ังแรกสมัยที่สวนผึ้งยังเป็นที่รู้จักในฐานะอำเภอชายแดนที่ติดกับกองกำลัง God Army ของพม่าเท่านั้น
แต่เนื่องจากแก่งส้มแมวอยู่แยกออกไปจาก route ที่ตั้งใจจะปั่นเที่ยวเบาๆ ในวันเสาร์มาก จึงเหลือสถานที่แห่งเดียวที่ตั้งใจจะไปให้ถึง นั่นคือ ต้นผึ้ง ที่มาของชื่ออำเภอ เพราะเมื่อก่อนมีอยู่ชุกชุมแต่บัดนี้ได้กลายเป็นต้นไม้หายากไปเสียแล้ว เราคลำเส้นทางไปตามลายแทงในหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง หลงนิดหน่อยเพราะลายแทงไม่ชัดเจน แต่เมื่อลงไปถามคุณยายแถวนั้น ท่านก็ชี้ทางให้เป็นฉากๆ (ด้วยสำเนียงเหน่อๆน่าร้ากกก ^ ^) แม้จะเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาๆที่ยืนอยู่กลางไร่อ้อย แต่คิดว่าชาวบ้านแถวนั้นคงรู้จักเป็นอย่างดี
ต้นผึ้งมีลักษณะสูงชะลูด ผิวภายนอกขาวเนียน ใบคล้ายใบมันสำปะหลัง เมื่อแหงนคอตั้งบ่าอยู่ใต้ต้นเห็นร่องรอยของรวงผึ้งที่กำลังก่อตัวหนึ่งรวงถ้วน!! ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารวงที่สมบูรณ์อันอื่นๆหายไปไหน คำตอบอาจจะอยู่ที่ลิ่มไม้ ซึ่งตอกห่างๆกันในระยะก้าวถึงบนลำต้น ไล่ตั้งแต่โคนไปถึงคาคบก็เป็นได้ ...ช่างคลาสสิกจริงๆ
สำหรับผู้ที่สนใจตามรอย ต้นผึ้งจะอยู่ในกม.ที่ 12.32 ใน route ด้านล่างค่ะ สำหรับผู้ที่ไม่สนใจต้นผึ้ง เส้นทางตั้งแต่กม.ที่ 3-11 ก็ยังนับว่าเป็นเส้นที่นักปั่นไม่ควรพลาดอยู่ดี เพราะรถน้อย สวยงามร่มรื่น บางช่วงเลียบลำภาชี บางช่วงมีภูเขาขนาบสองด้าน Highly Recommended จริงๆ ค่ะ
ตามหาต้นผึ้ง http://www.endomondo.com/workouts/288296873/862998
ก็แหม...จริงๆแล้วความตั้งใจแรกคือปั่นมาวิ่งนี่นา ถนนหน้ารีสอร์ทก็ออกจะรถน้อย วิวเลิศ อย่างงั้นก็ขอวิ่งเอาฤกษ์เอาชัยเพื่อให้สมกับเป็นโครงการ "ปั่นไปวิ่งไป" ซักหน่อยแล้วกัน จริงๆในรีสอร์ทก็วิ่งได้นะ เพราะกว้างขวางมีทางเดินปูนยิงผ่านหน้าบ้านแต่ละหลัง ที่ไล่เรียงสูงขึ้นไปตามเนินเขา แต่เรายังอยากถนอมต้นขาไว้ใช้ปั่นฝ่าแดด กลับราชบุรีพรุ่งนี้มากกว่าง่ะ
จ็อกสวยๆ http://www.endomondo.com/workouts/288296835/862998
สวนผึ้ง-ราชบุรี-ชุมทางตลิ่งชัน-บ้าน
เนื่องจากไม่เคยปั่นไกลๆ (70 โลนี่ก็ไกลแล้วในตอนนี้) ติดต่อกัน 2 วันแบบนี้ แถมยังเป็นการปั่นขึ้นเขาลงห้วยไปตลอดทางด้วย เราจึงรู้สึกล้าขาและเลือกที่จะออกเดินทางสายๆ แทนที่จะเป็นเช้าตรู่ เพื่อให้มีเวลาพักนานขึ้นสักหน่อย
หลังจากกินอาหารเช้าของทางรีสอร์ทจนอิ่มหนำสำราญดี นั่งพักเรียกกำลังใจอีกครู่ใหญ่ พวกเราก็ออกเดินทางตอน 10:18 น. เราเลือกออกจากหุบผารีสอร์ทด้วยเส้นทางเดียวกับที่ปั่นไปดูต้นผึ่งเมื่อวาน เพราะไม่มีเนินชนิดที่ต้องลงเข็นแบบเส้นที่มาจากสามแยกภูผาผึ้ง รถน้อยกว่า สวยกว่า ใครสนใจลองดูที่กม. 3-11 ใน route ด้านล่างนะคะ
สวนผึ้ง-ราชบุรี http://www.endomondo.com/workouts/288296802/862998
ขากลับ ถ้านั่งรถกลับยังไงก็ต้องรู้สึกว่าใกล้กว่าขามาแน่ๆ แต่ถ้าเป็นการปั่น ต้องขึ้นกับว่าขามาเราขึ้นเขาหรือลงเขา ถ้าเป็นอย่างแรก ขากลับก็สบายหน่อย แป๊บเดียวก็ถึงแล้วแบบเดียวกับทริปของเราในครั้งนี้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง...ก็ขอไว้อาลัย ณ ที่นี้ด้วย 555+ เรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า จงปั่นไปเที่ยวภูเขากันเถิดเอย ^___^
เรามาถึงสถานีราชบุรีก่อนเวลารถออกที่ระบุไว้ในตารางเดินรถเพียง 30 นาที เผื่อไว้น้อยเพราะในใจคิดว่ามันต้อง late ไปเกือบชั่วโมงแบบขามาแหงๆ ที่ไหนได้ รถไฟธรรมดาขบวน 626 หัวหิน-กรุงเทพ มาถึงสถานี 15:58 น.ตรงเวลาเป๊ะ!! และไปถึงปลายทาง 18:13 น. ช้ากว่ากำหนดเพียง 3 นาทีเท่านั้น !!
รถขบวน 626 เป็นรถไฟคนละยี่ห้อกับขามา คนเต็ม และไม่มีอ่างล้างหน้าให้เอารถไปแหมะ รถคันหนึ่งจึงแยกไปวางไว้ตรงบันไดหน้าประตูฝั่งที่ไม่ได้ใช้งาน อีกคันหนึ่งวางหน้าที่นั่งข้างประตู ซึ่งเป็นที่นั่งแบบหันหน้าเข้าทางเดินเหมือนรถสองแถว ล้ำเข้าไปในโถงทางเดิน (เรียกถูกมั้ยหว่า โถงเลยเหรอ 555+) อยู่บ้าง แต่ก็พอผ่านได้ เอาเป็นว่าเรียบร้อยพอจะทำให้พนักงานรถไฟไม่ว่ากล่าวให้เป็นที่อับอายแก่สาธารณะชนก็แล้วกัน
เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า การนำรถพับขึ้นรถไฟ จะว่าง่ายก็จริงอยู่ เพราะขึ้นขบวนไหนก็ได้ แต่มันยากอีตรงที่ เราจะหาทางจัดการกับสัมภาระชิ้นโตอันนี้ของเรายังไง ให้ไม่ไปรบกวนชาวบ้าน โดยเฉพาะในยามที่คนแน่น
มาถึงสถานีตลิ่งชันฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เราติดไฟกะพริบสีแดงด้านหลังและไฟส่องทางด้านหน้า แถมหนีบไฟกะพริบสำหรับนักวิ่งไว้ที่ด้านหลังหมวกอีก 1 อัน เพราะถนนบางช่วงไม่มีไฟ อย่างไรก็ตามถนนยังไม่เปลี่ยวเกินไปนัก ปั่นถึงบ้านโดยสวัสดิภาพตอน 19:00 น. พอดี จบทริป "ปั่นไปวิ่งไป (แต่ครั้งแรกนี้วิ่งพอเป็นพิธีนะจ๊ะ)" แต่เพียงเท่านี้
บทสรุป
สวนผึ้งแม้จะเปลี่ยนโฉมไปเป็นเมืองแห่งรีสอร์ท โดนยึดครองโดยแกะอาร์มี่แทนก็อดอาร์มี่ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ยังคงเป็นสถานที่ซึ่งมีเส้นทางสวยงาม เงียบสงบ เหมาะแก่การปั่นจักรยานบริหารน่องยิ่งนัก ถ้าอยาก Light Touring โดยขึ้นรถไฟไปลงอำเภอเมืองแล้วปั่นต่อไปสวนผึ้ง ก็ทำได้ไม่ยาก ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่าบนรถไฟ บวกกับ X ชั่วโมงบนหลังอานตามศักยภาพของท่านในระยะทาง 70 กม. เส้นทางกว้างบ้างแคบบ้าง รถมากบ้างน้อยบ้าง ขาไปเป็นทางขึ้นเขาซึมๆไปเกือบตลอดทาง ส่วนที่พัก ถ้าเป็นลานกางเต็นท์จะหาง่าย ไม่ค่อยเต็มเหมือนบ้านพัก ไปตายเอาดาบหน้าก็ยังได้ เส้นทางวิ่ง จะพักรีสอร์ทใหญ่ๆแล้ววิ่งในนั้น หรือวิ่งริมถนนสวนทางรถก็ยังได้ เพราะไหล่ทางกว้าง รถน้อย ที่สำคัญ วิวสวยมากกก
No comments:
Post a Comment
*************************************************************************************
ผักกาดๆ ถ้าข้อความไม่ขึ้น นั่นแปลว่า blog คิดว่าข้อความของท่านเป็น spam ไม่ต้องกังวลค่ะ comment เหล่านี้จะตกไปอยู่ที่กล่อง spam รอให้เจ้าของ blog มาตรวจสอบ (ก็คือเรานั่นเอง ^ ^)
*************************************************************************************