Tuesday, June 25, 2013

ท่าวิ่ง version 2 | 8 comments:

ผ่านไป 1 ปี จากที่เคยลงคลิปท่าวิ่ง version 1 
เรามีพัฒนาการด้านท่าวิ่งยังไงบ้าง มาดูกันค่ะ

เช่นเดิม ที่เห็นในคลิปคือท่าวิ่งของเราขณะ pace ประมาณ 5:10 นาที/กม.
(เพื่อการเปรียบเทียบที่ชัดเจน เราใส่ชุดเดิม รองเท้าเดิม แต่หมวกเดิมอยู่อีกที่นึง หาไม่ทัน...อ้อ...น้ำหนักเพิ่มจากปีที่แล้วเกือบ 3 กก.ด้วย T_T )





ข้อบกพร่องที่(คิดว่า)แก้ไขแล้ว
- ขาไม่ครบวง
- ไหล่ส่าย
- ลงเต็มเท้า ไม่ใช่ตำแหน่ง BOF

ข้อบกพร่องที่ยังแก้ไม่ได้
- ยกแขนสูง
- ตัวไม่โน้ม

แต่คิดว่าคงแก้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ 555+ เพราะแขนประมาณนี้และโน้มตัวขนาดนี้กำลังสบายแล้ว เมื่อวานดู Dibaba (เหรียญทอง 10K หญิงที่โอลิมปิกลอนดอน) วิ่ง 10K รายการ Bupa พี่แกยกแขนสูงกว่านี้อิ๊ก คิดว่าความสบายและลื่นไหลน่าจะเป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญมากกว่า



สิ่งที่ต้องปรับปรุงต่อไปคือ 
- ขณะลงเท้า เข่ายังตึง 
- เทคตัวไม่สูง ดูแล้วไม่พุ่งไปข้างหน้า 
อันหลังนี้น่าจะต้องใช้ความแข็งแรงของต้นขาและข้อเท้าซึ่งคงต้องใช้เวลาเสริมสร้างกันอีกนาน

ถ้ามีการปรับท่าเป็นเวอร์ชัน 3 จะนำมาลงเปรียบเทียบให้ดูความแตกต่างต่อไปค่ะ
ขอขอบพระคุณโค้ชที่แนะนำสั่งสอนจนมีวันนี้ค่ะ

8 comments:

  1. เท่าที่ดูท่าก็สวยดีนะคะ วิ่งความเร็วขนาดนี้ยังนิ่งก็เยี่ยมแล้วค่ะ .. แต่ฮั้วไม่รู้หรอกนะว่าท่าถูกต้องหรือสวยต้องเป็นอย่างไร ตอนนี้กำลังหาท่าที่วิ่งแล้วสบายที่สุดและใช้ effort น้อยที่สุดในแบบของตัวเองอยู่

    สู้ต่อไปค่า ^_^

    ReplyDelete
    Replies
    1. ใช่เลยค่ะ ท่าสวยงามอาจจะมี(แต่ก็ขึ้นกับรสนิยมอีกนั่นแหละ) แต่ท่าถูกต้อง...เราคิดว่าไม่มี ขึ้นกับว่าวิ่งแล้วเราสบาย ใช้ความพยายามน้อย ลื่นไหล ไม่บาดเจ็บหรือเปล่า ซึ่งแต่ละคนต้องมีท่าที่เหมาะกับตัวเองอยู่ ที่จำเป็นต้องเหมือนกัน ดูได้จากอีลิทในงานวิ่งต่างๆ ที่มีท่าไม่เหมือนกันเลย

      ขอให้คุณฮั้วพบท่าเนื้อคู่นั้นในที่สุดนะคะ อิอิ

      Delete
  2. การลงเท้าพี่ดูนิ่มสบายตาดีจัง pace 5:10 นาที/กม ผมยังทำไม่ได้เลยตอนนี้ยังต้องลดน้ำหนักลงอีกครับไม่ไหวๆ 5555+++

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณค่ะ การลงหน้าเท้าจะทำให้เรามีโช้ค 2 ชั้น...โช้คนะคะ ไม่ใช่โชค มันเลยดูนิ่มเช่นนี้แล

      ลดน้ำหนักได้ก็ดีค่ะ ข้อต่อเส้นเอ็นจะได้แบกภาระน้อยๆ พี่ก็กำลังลดเหมือนกัน อ้วนไม่ไหวแร้วววว

      Delete
  3. อยากรู้ว่าวิ่งแบบหลังนี่แล้วเหนื่อยขึ้นไหมครับ ดูแล้วเหมือนวิ่งดึงจังหวะ สลับขาค่อนข้างเร็ว ต้องตั้งใจวางขาอย่างนี้ หรือเป็นธรรมชาติไปแล้ว ผมเคยลองฝึกบังคับไม่ให้ลงส้น ช่วงแรกๆก็พอได้ แต่พอทางไกลหน่อย มันก้ไม่ไหว รู้สึกน่องตึง เหนื่อยไวกว่าปกติ

    ReplyDelete
    Replies
    1. สำหรับเรา แยกเป็น 2 อย่างค่ะ คือเหนื่อยกับล้า
      ความเหนื่อยขึ้นกับความสามารถของหัวใจ
      ความล้าขึ้นกับความสามารถของกล้ามเนื้อ

      ท่าใหม่นี้ เราไม่ได้เหนื่อยขึ้นค่ะ
      เพราะความเหนื่อยของเราจะแปรผันตาม cadence
      ถ้าลองดูช็อตเปรียบเทียบระหว่างท่าเวอร์ชั่น 1 กับเวอร์ชั่น 2 จะเห็นว่า cadence หรือจำนวนก้าวต่อนาที เท่ากันเป๊ะ
      ซึ่ง cadence ของเราสูงเป็นธรรมชาติ (คือประมาณ 180 ในกรณีวิ่งสบาย
      และ 190 ในกรณีแข่ง 10K) มานานแล้วจากการฝึกฝน

      แต่ความล้า มีค่ะ เพราะเราใช้กล้ามเนื้อที่น่องที่ไม่เคยถูกใช้มาก่อนสมัยวิ่งลงส้น
      ฝึกแรกๆ วิ่งได้ 2 กม. ก็น่องตึงเปรี๊ยะแล้วค่ะ
      แต่ร่างกายมนุษย์มหัศจรรย์ที่สุด ถ้าทู่ซี้ใช้มันบ่อยๆ มันก็จะปรับมาแข็งแรงสู้เราเอง
      ตอนนี้เราวิ่งท่านี้ 8K ได้แล้วโดยไม่ล้า
      ก็ต้องค่อยๆเพิ่มระยะตามกฏของไมโลกันต่อไปค่ะ ^ ^

      ลักษณะการลงเท้าก็เช่นกัน
      ตอนแรกก็ต้องตั้งใจวางเท้าแบบนี้
      แต่ตอกย้ำ เคี่ยวเข็นมันนานๆเข้า ตอนนี้เป็นธรรมชาติไปแล้วค่ะ
      เริ่มออกตัววิ่งเมื่อไหร่ ก็จะเริ่มด้วยท่านี้ตลอด
      จนกว่าจะล้าน่องจนไม่ไหวนั่นแหละ จึงจะต้องเปลี่ยนมาใช้ท่่า version 1 แทน

      Delete
    2. ขอบคุณครับ สงสัยผมก็คงต้องฝึกต่อไป ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ตอนดูท่าวิ่งversion 2ใหม่ๆ ผมรู้สึกเหมือนคุณ oor วิ่งโหย่งๆตัวหนะครับ ก็ดูsmoothดี แต่เหมือนมันเป็นการกระชากจังหวะไปเรื่อยๆ เลยไม่แน่ใจว่าตั้งใจบังคับวิ่งแบบนั้นไหม แล้วมันจะทนได้นานไหม เพราะผมเคยลองฝึกไม่ลงส้น(แต่ก็ไม่แน่ใจว่าลงที่ball of foot หรือเปล่า) มันจะมีความรู้สึกว่าต้องบังคับตัวเองดีดไปข้างหน้าเรื่อยๆ ได้ประมาณ 1- 2 โล ก็รู้สึกล้าที่น่อง และเหนื่อย รู้สึกมันฝืนๆยังไงไม่รู้ ถ้าคุณ oor ว่ามันฝึกต่อไปได้ก็คงต้องพยายามต่อไปครับ

      ปล. ขอสมัครเป็นผู้ติดตามblogอย่างเป็นทางการเลยนะครับ จริงๆแอบอ่านมาหลายเดือนแล้ว อ่านครบทุกตอนแล้วนะครับ พร้อมๆกับblogของคุณไช้

      Delete
    3. ยินดีค่ะ ถามได้สงสัยได้วิจารณ์ได้เต็มที่เลยค่ะ ชอบตอบ ^__^

      ส่วนตัว เวลาดูท่าวิ่งของตัวเอง ก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวโหย่งๆพิกัลเหมือนกัน 555+
      แต่คงเป็นเพราะสรีระมังคะ เพราะโดนทักว่าวิ่งเด้งๆ ตั้งแต่สมัยวิ่งลงเต็มเท้าแล้ว

      ท่านี้ ก็คงไม่ใช่ท่าสุดท้ายหรอกค่ะ
      คงจะปรับไปเรื่อย จนกว่าจะสบายจริงๆ
      เพราะตอนนี้ แขนยังเกร็งอยู่มาก
      เมื่อเช้าก็ไป workshop barefoot มา
      ไม่แน่...ต่อไปอาจวิ่งแบร์ฟุตเลยก็ได้ค่ะ

      เอาใจช่วยค่ะ
      แน่นอน ความตึง ล้าน่อง เลี่ยงไม่พ้นค่ะ แก้ได้ด้วยการยืดน่องบ่อยๆ ตลอดเวลาที่คิดออก
      ความ "จงใจ" ก็เลี่ยงไม่พ้นเช่นกัน
      เพราะถ้าไม่จงใจ เราจะกลับไปลงเท้าแบบที่เคยชินแน่นอน
      แต่ทำไปนานๆ เดี๋ยวก็เป็นธรรมชาติไปเองค่ะ

      ขอบคุณที่สนใจอ่าน blog เราจนครบทุกตอนนะคะ
      ตาแฉะกันไปข้างนึงแน่ๆเลย อิอิอิ

      Delete

*************************************************************************************
ผักกาดๆ ถ้าข้อความไม่ขึ้น นั่นแปลว่า blog คิดว่าข้อความของท่านเป็น spam ไม่ต้องกังวลค่ะ comment เหล่านี้จะตกไปอยู่ที่กล่อง spam รอให้เจ้าของ blog มาตรวจสอบ (ก็คือเรานั่นเอง ^ ^)
*************************************************************************************

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...