จากวันที่แขนหักจนถึงขณะนี้นับได้ 12 วันแล้ว เป็น 12 วันที่ผ่านไปอย่างแสนเชื่องช้า อาการปวดจากบาดแผลภายในหมดไปแล้ว เหลือเพียงอาการเจ็บแปล๊บๆเมื่อแขนเคลื่อนไหวในบางอิริยาบท ที่เกิดจากการเสียดสีกันของกระดูกส่วนที่หักทั้งสองฝั่ง ความเจ็บ ความลำบากในชีวิตประจำวันนั้นพอทนได้ แต่ชีวิตที่ต้องนั่งๆนอนๆและเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ามันสุดจะทนจริงๆ เฝ้าแต่นับว่าเมื่อไหร่จะถึงวันที่ 18 มิ.ย.
เราควรจะได้ถอดเฝือกเร็วกว่านี้ 2 วัน ถ้าไม่เอาฟิล์มเอ็กซเรย์มาให้หมอกระดูกที่ร.พ.เอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ double check หมอท่านนี้เราคุ้นเคยดีตั้งแต่ตอนเอ็นข้อเท้าัอักเสบ ไม่นึกเลยว่าผ่านไปไม่ถึงเดือนต้องมาป๊ะกันแหมอีกแล้ว หมอยังคงความสุขุมคัมภีรภาพ ยิ้มน้อยๆแต่ดูไร้อารมณ์เหมือนคนที่เห็นอนิจจังไม่เที่ยงมาเยอะ พูดเร็วแบบคนที่สมอง process ไว ดูฟิล์มแล้วก็บอกเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า เดี๋ยวหมอเข้าเฝือกให้ใหม่นะ ตรงที่หักมันเหมือนเข้ามาหากันแล้ว แต่เบ้ากระดูกตรงข้อมือจริงๆมันต้องเอียงลง ทำให้คนเราคว่ำมือไปข้างหน้าได้องศามากกว่าหงายมือไปข้างหลัง ตอนนี้เบ้ามันยังเอียงขึ้นอยู่เลย ว่าแล้วก็พลิกหน้ากระดาษหาที่ว่างๆเขียนรูปบรรยายประกอบ...หมอคะ...แต่ที่รพ.แรกบอกว่าโอเคแล้วหนิคะ (แปลว่า หนูไม่อยากถูกดัดแขนอีก T_T) หมอยิ้มแล้วตอบโดยน้ำเสียงไม่ได้เจือคำตำหนิว่า...หมอเค้าทำไม่เป็น
ครั้งนี้แขนเราถูกรุมสกรัมโดยบุรุษพยาบาล 2 คน คนแรกดึงแขนฝั่งข้อศอก อีกคนหมอสั่งให้ดึงนิ้วมือโดยเฉพาะนิ้วโป้งต้องดึงแบบจัดหนัก ส่วนหมอก็จับปลายกระดูกแขนด้านที่ติดกับข้อมือ ออกแรงเพียงไม่กี่ครั้งก็ได้ยินอะไรซักอย่างลั่นดังกรึ๊บ เบ้ากระดูกคงเอียงลงสมใจหมอแล้ว เราถูกเข้าเฝือกแบบแนวคิดใหม่ (เราตั้งชื่อเอง) แทนที่จะเอาผ้าเฝือกมาพันรอบแขน หมอบรรจงพับมันเป็นทบให้ได้ความหนาตามต้องการแล้วเอามาดามประกบแขนด้านบนด้านล่าง กดย้ำในส่วนที่ต้องการให้กระชับแล้วพันผ้ายืดทับเพื่อยึดเฝือกทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน ด้วยวิธีนี้เราจะไม่ต้องเจ็บปวดเมื่อแขนบวมขึ้นภายหลัง เพราะเฝือกให้ตัวได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นเฝือกที่แสนหนักและแขนของเราถูกจัดให้อยู่ในท่าที่สุดแสนจะไม่ธรรมชาติอยู่ดี
นอกจากเฝือกแล้ว ยากินก็เป็นอีกอย่างที่ถูกเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ยา Diclofenac และยาคลายกล้ามเนื้อ (Orphenadrine citrate) ที่ได้มาจากรพ.แรกถูกสั่งงด หมอบอกว่าไม่จำเป็นไม่ควรกิน แล้วจ่ายแค่เพียงแคลเซียมเม็ดให้กิน 3 เวลาหลังอาหารเท่านั้น ถ้าปวดแผลก็ให้กินพาราฯแทน ซึ่งเอาเข้าจริงก็ปวดขนาดต้องกินยาแค่วันแรกเท่านั้น
สรุปแล้วเราต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในวันพุธที่ 18 พ.ค. และถ้าเฝือกแนวคิดใหม่มันไม่เวิร์ค (ระแวงง่ะ) หรือกระดูกมันเกิดดื้อด้านไม่ยอมกลับเข้าที่เพราะถูกกระทบกระเทือน เราอาจต้องถูกดัดแขนและนับหนึ่งใหม่อีกรอบ เราจึงต้องทนุถนอมแขนซ้ายเป็นอย่างยิ่ง ความคิดที่ว่า"แขนหักก็หักไป ขายังดีอยู่ก็วิ่งได้นิ" จึงต้องพักเก็บใส่ลิ้นชักไปก่อน
แล้วเราจะรักษาความฟิตได้อย่างไร mission จะ impossible หรือไม่ ติดตามตอนต่อไปโลด
(แขนหักนี่หากินได้หลายโพสต์วุ้ย 555+)
No comments:
Post a Comment
*************************************************************************************
ผักกาดๆ ถ้าข้อความไม่ขึ้น นั่นแปลว่า blog คิดว่าข้อความของท่านเป็น spam ไม่ต้องกังวลค่ะ comment เหล่านี้จะตกไปอยู่ที่กล่อง spam รอให้เจ้าของ blog มาตรวจสอบ (ก็คือเรานั่นเอง ^ ^)
*************************************************************************************