และแล้วในเช้าวันหนึ่ง เราก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่า วันนั้นได้มาถึงแล้ว เรามีไข้ต่ำๆ รู้สึกเหนื่อยในอกแบบบรรยายไม่ถูก ซึ่งเราคุ้นเคยดีว่า อีกไม่นานมันต้องตามมาด้วยอาการที่แถวขอนแก่นบ้านเราเรียกว่า "ขี้มูกกื้ด" นั่นคือ มีน้ำมูกใสไหลพรั่งพรูจนต้องคอยสูดกลับจนเกิดเสียงดังกื้ดๆ แล้วจากนั้นจะหนักขึ้นหรือทรงๆก็แล้วแต่ความโหดของเชื้อโรคและความแข็งแรงของร่างกาย ไปลุ้นต่อเอาเอง
แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ น้ำมูกไม่มาตามนัด มีแต่ไข้ต่ำๆเท่านั้นที่ยังคงอยู่อย่างมุ่งมั่น เรากินยาพาราฯเพื่อลดไข้อยู่ 2 วัน วันละ 3 มื้อ ไข้ก็ยังไม่ยอมลด เข้าวันที่ 3 เราเริ่มเกรงใจตับ เลยโพสต์ถามเพื่อนๆนักวิ่งในเฟสบุ๊ค ไม่นานก็รู้สาเหตุ...
ขอแฟลชแบ็คกลับไปในอดีต เราเคยถอดเล็บนิ้วโป้งเท้าขวา เนื่องจากช่วงนั้นใส่รองเท้าที่พอดีเกินไปและวิ่งตากฝนบ่อยๆ ทำให้เล็บขบและเป็นหนอง พยายามแซะเพื่อตัดก็ไม่ัทันเสียแล้ว เล็บมันทิ่มเข้าไปลึกเกินกว่าจะแซะเองได้ สุดท้ายทนเจ็บไม่ไหวต้องไปให้หมอจัดการ หมอถอดเล็บเฉพาะด้านข้างเหลือแต่เนื้อเล็บโล่งๆ ต้องไปทำแผลทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์ วิ่งไม่ไ้ด้อย่างสิ้นเชิง ได้แต่รักษาความฟิตด้วยการปั่นจักรยานในยิม
เล็บเท้าของเรามีโทษาลักษณะอยู่อย่างหนึ่งคือ มันโค้งเหมือนเล็บมือ ไม่ได้แบนเหมือนเล็บเท้าชาวบ้านเค้า ดังนั้นจึงง่ายต่อการเกิดเล็บขบอย่างยิ่ง ถ้าเผลอไม่ดูแลให้ดีก็จะยาวทิ่มเนื้อซอกเล็บ ต้องแงะกันน้ำตาร่วง คุณหมอที่ถอดเล็บให้คำแนะนำไว้ว่า ใครที่มีเล็บลักษณะนี้ให้เอาตะไบฝนที่กลางเล็บ (ส่วนที่นูนที่สุด) มันจะค่อยๆแบนลงเอง เราก็ทำอยู่ในช่วงแรกๆ หลังๆเริ่มขี้เกียจเพราะชะล่าใจว่าหมอถอดเล็บไปแล้ว ตรงที่เป็นเนื้อโล่งๆคงจะไม่มีเล็บขึ้นมากวนใจอีก ปลอดภัยจากเล็บขบไปชั่วนิรันดร์
ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เล็บเริ่มขึ้นมาปกคลุมเนื้อที่เคยโล่งๆนั้นทีละน้อย แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจว่ามันจะงอกไปในทิศทางใด อยู่มาวันหนึ่งจึงเริ่มรู้สึกเจ็บ แต่ด้วยความที่ยังไม่อยากเสียน้ำตา เราจึงออกวิ่งทั้งเจ็บๆแบบนั้น น่าแปลก ผ่านไป 2-3 วันมันก็หายเจ็บไปเอง และที่แปลกยิ่งกว่าก็คือ เราดันเชื่อซะด้วย ว่าเล็บมันเลิกขบของมันไปเอง หึหึ หลังเหตุการณ์นี้ประมาณ 1 อาทิตย์ เหตุการณ์เมื่อตอนต้นเรื่องก็เกิดขึ้น...
สรุปคือเล็บมันขบ(อีกแล้ว เขียนถึงแล้วมีน้ำโหวุ้ย!!) แล้วเจ้าของเล็บก็ตีมึน ปล่อยมันไว้อย่างงั้นจนติดเชื้อแบคทีเรีย พอเชื้อนี้เข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายก็ต้องส่งเม็ดเลือดขาวมากำจัด และทำสภาพแวดล้อมให้ไม่เป็นที่น่าอภิรมย์ของเชื้อ โดยการเพิ่มอุณหภูมิร่างกายขึ้น เป็นที่มาของไข้ต่ำๆของเรานั่นเอง ดังนั้นถึงแม้จะกินยาลดไข้สักเพียงใด ถ้าเชื้อยังคงอยู่ ไข้ก็จะไม่หาย
วิธีรักษาเริ่มจาก ต้องทนน้ำตาร่วงตัดเล็บที่ขบเป็นหนองนั้นออก (หรือไปถอดเล็บอีกครั้ง แล้วแต่ศรัทธา) แล้วรักษาความสะอาดให้ดีเพื่อตัดทางเสริมกำลังของเชื้อโรค การทำความสะอาด ให้เช็ดด้วยน้ำเกลือแล้วทาขี้ผึ้งทับ เช็ดรอบๆแผลด้วยเบตาดีน ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ จากนั้นกินยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยร่างกายฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั้นซะ 1 โดสคือ 5 วัน ต้องกินให้ครบแม้ไข้จะหายก่อนก็ตาม แต่สำหรับเรา ไข้หายเอาวันที่ 5 พอดี ศิริรวมแ้ล้ว เราเป็นไข้ต่ำๆอยู่ 1 สัปดาห์ถ้วน แม้ไม่ทรมาน แต่รำคาญมาก และแน่นอน...วิ่งไม่ได้ T_T
จึงขอฝากเพื่อนนักวิ่งเอาไว้ว่า ดาราที่ดีต้องดูแลผิวหน้าไม่ให้มีสิวฉันใด นักวิ่งที่ดีก็ต้องคอยตรวจตราความเรียบร้อยของเล็บเท้าฉันนั้น...ฯ เทอญฯ...(จบดีก่า ยาวเกิ๊น)
ปล. เนื่องจากโพสต์นี้ไม่กล้าใส่รูป เพราะคงไม่งามแน่ ถ้าใครมาหาอะไรอ่านเพลินๆตอนกินข้าวเที่ยงแล้วต้องเจอรูปเล็บขบ ถ้าเช่นนั้นขอแปะเพลงที่เราชอบ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องป่วยๆ ให้โพสต์ดูไม่น่าเบื่อเกินไปก็แล้วกันนะคะ
เบิร์ดเคยโดนเหมือนกันเชื้อรากินเล็บ ....สยอง เล็กค่อย ๆ หายไปทีละนิด
ReplyDeleteของอาจารย์ แค่ได้อ่าน ก็เห็นภาพในทันทีแล้ว...บรรยายได้ดีมาก
เขียนหนังสืออีกสักเล่มม่ะ...หนับหนุน 9 เล่ม เอาชัย 5555
อยากจิเบิร์ด อยากเขียนทั้งหนังสือ และบทความแบบคอลัมนิสต์ ไรเงี้ย
Deleteตอนนี้ก็เลยกลับมาฟิตเขียน blog อีกครั้ง
อยากเขียนให้เก่ง ก็เลยต้องหัดเขียนเยอะๆ
ไว้ถ้าได้ออกหนังสืออีกเมื่อไหร่จะบอกอยู่แล้ว จะเอาไปหักคอขายแน่นอน ฮ่าๆๆ
แนะนำ..ให้เปิดเป็น website เลยดีกว่านะ
ReplyDeleteต้ังชื่อเวปไซท์ให้เป็น keyword หลักไปเลย
Up บทความให้ทุกวันสม่ำเสมอ
เปิดห้อง webboard
รับรอง เวปจะมีคนเข้าเยอะ ๆ แน่ ๆ
ถ้าเขียนถูกใจ อาจมีแมวมองมาให้เขียนหนังสือนะ
www.GirlRunning.com ชื่อยังว่างนะ....
โห...คิดการณ์ใหญ่เลยวุ้ยท่าน
ReplyDeleteบทความดีมากๆครัล
ReplyDeleteการรักษาเล็บขบด้วยวิถีธรรมชาติ